จับเข่าคุยสองผู้บริหารสาวต่างขั้ว พรภัทร์ รอดโพธิ์ทอง บุญถนอม + อรลดา เผ่าวิบูล
ถึงจะจั่วหัวว่าต่างขั้ว เพราะในขณะที่ “เจี๊ยบ” อรลดา เผ่าวิบูล
โดย พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ : ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
ถึงจะจั่วหัวว่าต่างขั้ว เพราะในขณะที่ “เจี๊ยบ” อรลดา เผ่าวิบูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย เติบโตมาจากสายการเงิน ส่วน “แพร” พรภัทร์ รอดโพธิ์ทอง บุญถนอม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกฎหมายและสินไหมทดแทน บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย ที่ทั้งชีวิตหล่อหลอมมาในเบ้าของกฎหมาย
แต่เมื่อทั้งสองโคจรมาเจอกัน กลับกลายเป็น “Perfect Match” ที่ลงตัวราวกับอาหารจานเด็ดที่ผสานรสชาติเปรี้ยวหวานได้อย่างกลมกล่อม
แพร คือ กรมธรรม์ที่อัดแน่นไปด้วยสาระ
“เรารู้จักกันมา 2-3 ปี แต่เพิ่งได้มาทำงานร่วมกันประมาณ 1 ปี” เจี๊ยบในฐานะพี่ใหญ่เปิดฉากเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ไม่น่าโคจรมาพบกันของทั้งคู่
“ช่วงแรกๆ ที่รู้จักกันจะเน้นไปที่เรื่องของงานมากกว่า จนปีที่แล้ว บริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เลยได้มีโอกาสมาทำงานร่วมกับแพร ซึ่งตอนนั้นเราเหมือนสวมหมวกคนละใบคือ เจี๊ยบจะเป็นฝ่ายผู้ถือหุ้นเดิม และแพรเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามา”
ด้วยสถานะนี้เอง กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกันมากขึ้น จากสถานะคำเรียกคุณที่ดูเหินห่าง ก็เริ่มอัพเลเวลสู่การเป็นพี่เป็นน้อง
“เราต้องทำงานร่วมกันตลอด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่องค์กรต้องมีการเปลี่ยนผ่านหลายอย่าง เพราะเราเป็นบริษัทประกันภัยของคนไทยที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 76 ปี ตอนนี้เราต้องการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีเพื่อการทำงานที่มีความรวดเร็วและทันสมัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ลูกค้า การพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญให้บุคลากร และการจัดทัพองค์กรใหม่ด้วยการนำมืออาชีพที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากแวดวงประกันภัยเข้ามาบริหารงาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการนำพาองค์กรไปสู่การแข่งขันเพื่อสร้างการเติบโตให้กับ TSI อย่างมั่นคงในระยะยาว”
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นความสัมพันธ์แบบพี่สาวน้องสาว แต่เจี๊ยบบอกว่า การทำงานร่วมกัน กลับทำให้เห็นแพรในมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่
“เวลาทำงานร่วมกัน เขาเหมือนเป็นอีกส่วนผสม ที่ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่าการตัดสินใจเราครบถ้วนรอบด้าน เพราะคนทำงานกฎหมายเขาจะรอบคอบอยู่แล้ว ที่สำคัญเวลามองปัญหา เขาจะพยายามมองอะไรโดยดึงตัวเองออกมาข้างนอก แล้วมองเข้ามาใหม่ เพราะฉะนั้นเราจะสบายใจมากถ้ามีเขาอยู่ และทำงานได้รวดเร็วมาก (เมื่อมีนักกฎหมายข้างๆ) ที่สำคัญเราเป็นคนตรงไปตรงมาทั้งคู่ เวลาคุยงานหรือตัดสินใจอะไร ไม่ต้องเสียเวลา ชักแม่น้ำทั้งสิบ”
สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่เข้ากันได้ดี เจี๊ยบมองว่า เพราะแพรมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัวค่อนข้างสูง บางมุมอาจจะมีความเป็นน้องเล็กบ้างก็ไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่คิดว่าจะเราต่างกันน่าจะเป็นไลฟ์สไตล์บางอย่าง
“เห็นแพรวันนี้ บอกเลยนี่เป็นลุคที่เรียบที่สุดของเขา เขาเป็นคนแฟชั่นมากจนบางทียังแอบสงสัยว่านี่คือนักกฎหมายเหรอ (หัวเราะ) แต่ก็ยอมรับนะว่าหลายครั้งที่เรามองการแต่งตัวของเขาว่าเป็นสีสันดี เพราะเจี๊ยบจะแต่งตัวค่อนข้างเรียบ”
สำหรับเจี๊ยบ เธอเปรียบเทียบว่าแพรเหมือนเป็นกรมธรรม์ที่อัดแน่นไปด้วยประโยชน์ มีสาระ มีความคุ้มครอง
“เวลาเจี๊ยบทำงานมีหลายอย่างที่เราไม่รู้ มีความเสี่ยงหลายอย่างที่เราต้องเจอ โดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกว่ามีแพรไว้คืออุ่นใจ เหมือนซื้อประกันมีกรมธรรม์คุ้มครองให้เราเดินไปข้างหน้าได้ โดยไม่ต้องระวังหลัง”
เจี๊ยบ คือ เบี้ยประกันที่คุ้มค่าที่สุด
“ช่วงที่มาทำงานด้วยกัน อาจเพราะเรามีแบ็กกราวด์อยู่ต่างประเทศมาคล้ายๆ กัน เราเลยมีมุมมองความคิดหลายๆ อย่างในการทำงานคล้ายกันมาก ที่สำคัญเราเป็นคนพูดตรงเหมือนกัน (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น หลายครั้งที่พอเราต้องมาแก้ปัญหาด้วยกัน เลยเหมือนเรายิ่งเข้ากันได้” แพรเล่าไปขำไป ก่อนจะเฉลยว่า
“เชื่อมั้ยว่า ตอนนี้เรานั่งทำงานห้องเดียวกัน จากแต่ก่อนแพรนั่งทำงานอยู่ชั้น 4 คุณเจี๊ยบตัดปัญหาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปปรึกษากัน ให้ย้ายไปทำงานห้องคุณเจี๊ยบเลย ส่วนห้องแพรก็ยกให้คนอื่นไป”
นอกจากจะถูกคอเรื่องงาน สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่คลิกกันอย่างรวดเร็ว อาจเพราะเคมีที่ตรงกัน
“แพรสังเกตว่าเวลาเราคุยอะไรกันก็ตาม ไม่ต้องพูดเยอะ พูดมานิดเดียวก็เข้าใจ ที่สำคัญคุณเจี๊ยบเข้าใจมุข 5 บาท 10 บาทของแพร (หัวเราะ) คุณเจี๊ยบไม่ดุนะคะ แต่เป็นคนเด็ดขาด เป็นคนให้โอกาสคน จริงจังในการทำงาน”
หลังจากฟังแต่เรื่องที่ทั้งคู่เข้าขากันได้ดีจนน่าอิจฉา มาถึงเรื่องที่ทั้งคู่เห็นต่างกันบ้าง งานนี้ทำเอาสาวนักกฎหมายคิดสักพักก่อนตอบว่า
“เรื่องงานไม่ค่อยมี จะมีคือบางครั้งแพรอาศัยความเป็นน้องเล็กมาใช้บ้าง ยกตัวอย่างอาหารเที่ยงมีปลาอยู่ข้างหน้า แพรจะไม่กิน จนคุณเจี๊ยบถามก็จะบอกว่า ไม่มีคนแกะให้ (หัวเราะ)”
ยังไม่สิ้นเสียงหัวเราะ เจี๊ยบที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ ก็แซวให้ยิ่งเขินว่า “น้องก็รู้ตัวเนอะ”
ถามถึงข้อดีของการมีเพื่อนรุ่นพี่เป็นคนรู้ใจ แพร ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า แพรเอนจอยอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่ เพราะในความเป็นเด็ก ทำให้เรามีโอกาสจะได้เรียนรู้จากรุ่นพี่เยอะ เพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาตัวเอง
สำหรับแพรเธอเปรียบเทียบว่าพี่สาวคนสวย เหมือนกับเบี้ยประกันที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดเวลานี้
“ในชีวิตแพรไม่ค่อยมีเรื่องตัวเลขเท่าไหร่ ในทางกฎหมายเราเน้นตัวอักษรเยอะ คนเรียนกฎหมายไม่ชอบเลขโดยพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพอมาเจอคุณเจี๊ยบ เขาเป็นอีกด้านของเรา เขาเข้าใจตัวเลขที่ผุดขึ้นมาตลอด เพราะฉะนั้น สำหรับแพรในมุมหนึ่งที่บอกเป็นเบี้ย คือ สะท้อนถึงคุณเจี๊ยบในแง่ของผู้หญิงที่เก่งเรื่องตัวเลข การเงิน บัญชี
แต่อีกความหมายคือ เวลาที่เราจ่ายเบี้ยก็เพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง สำหรับแพรถ้าการจ่ายเบี้ยนั้นอยู่ในมือคุณเจี๊ยบ แพรถือว่าเป็นเบี้ยประกันที่จ่ายแล้วคุ้มเงินที่สุด เพราะคุณเจี๊ยบเป็นเมนเทอร์ที่ดีมากๆ โดยเฉพาะในการทำงาน” แพรทิ้งท้าย


