โรคโฮมซิกที่รัก
ได้ยินคำว่า โฮมซิก (Home Sick) หรือโรคคิดถึงบ้านมานาน แต่นึกไม่ออกว่ามันรู้สึกยังไง
โดย อินทรชัย พาณิชกุล
ได้ยินคำว่า โฮมซิก (Home Sick) หรือโรคคิดถึงบ้านมานาน แต่นึกไม่ออกว่ามันรู้สึกยังไง จนกระทั่งมาใช้ชีวิตคนเดียวต่างบ้านต่างเมือง ในที่สุดก็ซาบซึ้งแล้วว่า อ๋อ! หน้าตามันเป็นแบบนี้นี่เอง
ช่วงแรกที่มาอยู่ปูเน่ ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบ จากภาษาไทยต้องมาเงี่ยหูฟังภาษาอังกฤษสำเนียงรัวเร็ว
เคยกินข้าวสวยต้มผัดแกงทอดน้ำพริกผัก ต้องมากินโรตีแกงถั่วแกล้มหอมแดงกับมะนาวฝาน โค้กใส่น้ำแข็งกลายเป็นชาร้อนใส่มาซาล่า
ดึกดื่นหิวท้องร้องวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง แต่ที่นี่ 3 ทุ่ม ร้านค้าทุกแห่งพากันปิดอย่างพร้อมเพรียง
ไม่มีตลาดนัดคนเดิน ไม่มีสตรีทฟู้ดยามราตรี ปูเน่ไม่คึกคักมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างกรุงเทพฯ ทว่าความตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ก็พาข้ามผ่านปัญหาการปรับตัวช่วงแรกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ผมเช่าห้องพักค่อนข้างสะอาดและปลอดภัยในย่านชุมชน เพียบพร้อมทุกสิ่งสำหรับการดำรงชีวิต ตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา ร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ ร้านชำ ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ร้านตัดผม ตู้เอทีเอ็ม ฟิตเนส ยันมหาวิทยาลัยอันเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวให้เข้าไปพักผ่อน
ขณะเดียวกันเลือกห้องที่เหมาะกับจริตตัวเองว่าอยู่แล้วมีความสุข มีห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ และระเบียงกว้างขวางไว้นั่งดูนกดูต้นไม้ ที่สำคัญใกล้ที่เรียนแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ 15 นาทีถึง มองเผินๆ ดูเหมือนชีวิตลงตัวและไม่มีอะไรน่าห่วง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ความเหงามันมาเคาะประตูห้องในวันที่ชีวิตทุกอย่างลงตัวนี่แหละ
กิจวัตรประจำวันของผมคือ ตื่นเช้ามาทำกับข้าว จิบกาแฟ แล้วจึงอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน กลางวันก็จมอยู่ในห้องเรียน ด้านหน้าคืออาจารย์ชาวอินเดีย ด้านหลังเป็นเพื่อนร่วมห้องที่มาจากหลากหลายชาติ
ไอ้ความที่ห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูงทำให้เราสนุกกับการเรียน หัวเราะหยอกล้อ กอดคอไปกินข้าวเที่ยง พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน หัวใจเปี่ยมล้นด้วยความร่าเริงแจ่มใส กระทั่งเลิกเรียนแยกย้ายกลับบ้าน ไอ้ความร่าเริงแจ่มใสมันคล้ายจะตอกบัตรเลิกงานไปพร้อมกับเราทุกคน
หลายคนโชคดีอยู่หอพักนักศึกษา มีรูมเมทไว้คุยแก้เหงา แถมได้ฝึกภาษาไปในตัว แต่หลายคนต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
ผมเองทำมันทุกวิถีทางให้ชีวิตมีรสชาติ มีสีสันที่สุด เพราะชีวิตเรียบง่ายนั้นคืออาหารอันโอชะของความเหงา และผมเองก็ไม่คุ้นชินกับความเหงาเสียด้วยตามประสาคนเพื่อนฝูงเยอะ
บางวันก็เข้าร้านหนังสือ บางวันไปนั่งแช่ในร้านกาแฟ ถึงเวลาก็ไปออกกำลังกายให้เหงื่อมันท่วม สมองสดชื่น จ่ายตลาดทำกับข้าวมื้อเย็น จนเข้าห้องพักนั่นแหละที่ทำเอารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะป่วย ป่วยเป็นโรคคิดถึงบ้าน
ยิ่งเวลาเข้าไปส่องเฟซบุ๊ก หาอะไรที่มันมีสาระอ่าน สุดท้ายก็ต้องมาสะดุดกับข่าวสารที่เมืองไทย ผู้นำนักสะสมนาฬิกาหรู ข่าวทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการแบบหน้าด้านๆ ข่าวคลิปคนต่อยกันกลางถนนเพราะเรื่องเล็กๆ คนโดนจับเข้าคุกในข้อหาเพี้ยนๆ ข่าวคนยากคนจนโดนรังแก ยิ่งดูยิ่งหดหู่เคียดแค้น พานให้ใจห่อเหี่ยว
ไล่ดูเฟซบุ๊กเพื่อน เห็นภาพคนคุ้นเคยกัน ภาพอาหารไทยน่าอร่อย ภาพการใช้ชีวิตการทำงานที่ตัวเราเคยผ่านมาค่อนชีวิต บ้านเมืองถนนหนทาง ยิ่งดูยิ่งคิดถึงบ้าน คิดถึงคนรัก ยิ่งคิดก็กลายเป็นวิตกกังวล เป็นห่วงเป็นใยต่างๆ นานา จนฟุ้งซ่าน พอฟุ้งซ่านและไม่มีใครคุยด้วย ก็เริ่มหงอยเหงาเศร้าซึม เฉื่อยชา เบื่อหน่ายไปเสียหมด ถึงขั้นอยากเก็บกระเป๋ากลับบ้านมันเสียพรุ่งนี้
ถามว่าวิธีแก้เหงา วิธีเอาชนะโรคคิดถึงบ้านคืออะไร ผมใช้วิธีนึกถึงราคาที่ต้องจ่ายไปมหาศาลเพื่อแลกกับการได้มาอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่แค่เงินเป็นแสนๆ ที่เสียไป แต่นึกย้อนลงไปถึงวันที่ตัดสินใจลาออกจากงานมั่นคง นึกถึงความเสียสละของคนรัก คนในครอบครัวที่ยินยอมอนุญาตให้เดินตามความฝัน นึกถึงความคาดหวังที่เขามีในตัวเรา ความหวังที่ว่าเราจะไปศึกษาเล่าเรียน พัฒนาความรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้คุ้มค่า ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นที่ภาคภูมิใจแก่คนที่เรารัก
ผมบอกตัวเองว่าต้องอดทนเท่านั้น สู้ต่อไปให้จบ เกมนี้จะมาอ่อนแอ ทำตัวขี้แพ้ไม่ได้
วันนั้นจำได้ว่า หลังจากตาสว่าง ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากห้องเหงาๆ ไปขี่มอเตอร์ไซค์ชมเมือง ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ได้คุยกับผู้คนใหม่ๆ ได้ลองไปในเส้นทางใหม่ๆ กินอาหารร้านใหม่ๆ ความร่าเริงสดใส อยากรู้อยากเห็นมันก็กลับคืนมาอีกครั้ง
สุดท้ายความเหงาก็จากไป ทิ้งไว้เพียงหัวใจที่เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม


