พูดดีเป็นศรีแก่ปาก
“พูดดีเป็นศรีแก่ปาก” สำนวนไทยสำนวนนี้หลายคนคงเคยได้เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ แปลไทยเป็นไทยได้ประมาณว่า “พูดดีเป็นที่นิยมชมชอบ”
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
“พูดดีเป็นศรีแก่ปาก” สำนวนไทยสำนวนนี้หลายคนคงเคยได้เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ แปลไทยเป็นไทยได้ประมาณว่า “พูดดีเป็นที่นิยมชมชอบ”
ใครพูดดีก็ย่อมเป็นที่รักใคร่ของผู้คนมากมาย กลับกันหากไม่เป็นเช่นนั้นคงไม่เป็นที่รักของคนรอบข้างแน่นอน
รอบหลายปีมานี้ โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หลายภาคส่วนในสังคมได้ร่วมกันรณรงค์ให้งดการใช้วาจาสร้างความรังเกลียดใส่กัน หรือ Hate Speech ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการที่เหล่าผู้นำทางการเมืองทั้งหลายมักจะผรุสวาทใส่กัน จนทำให้สังคมเกิดวิวาทะตอบโต้กันรุนแรง แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไรนัก
หากจะยกตัวอย่างของบุคคลสักคนที่เป็นตัวอย่างดีในการใช้คำพูด ถ้าให้นึกเร็วๆ ตอนนี้ก็เห็นจะเป็นคุณแอฟ “ทักษอร เตชะณรงค์”
ปกติแล้วส่วนตัวจะไม่ค่อยติดตามข่าวสารแวดวงบันเทิงมากนัก แต่วันก่อนมีคนแชร์คลิปการให้สัมภาษณ์ของคุณแอฟมาให้ดู เห็นแล้วต้องบอกว่าทึ่งจริงๆ โดยขอเอาบางส่วนมานำเสนอดังนี้
นักข่าว : มีมือที่สามเข้ามาหรือไม่
แอฟ : ขอตอบในส่วนของแอฟ ไม่อยากคิดเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ขอโฟกัสที่ลูก เพราะเป็นผู้หญิงเลี้ยงลูกคนเดียวก็ยิ่งใหญ่แล้ว ไม่อยากเสียพลังใจ
นักข่าว : จะกลับมาเป็นครอบครัวได้อีกหรือไม่
แอฟ : ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม สำหรับแอฟทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าทำวันต่อวันให้ดีที่สุด พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อลูก
นักข่าว : อนาคตจะกลับมาเป็นสามีภรรยาได้อีกหรือไม่
แอฟ : ตอนนี้ไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม ซึ่งตัวเองก็เคยร้องไห้แต่มันนานมากแล้ว เรื่องนี้ผ่านมาปีกว่าแล้ว แยกกันอยู่มาเกือบปีแล้ว ซึ่งตอนนี้สภาพจิตใจยังดี เพราะคนเป็นแม่จะไม่จมกับตัวเอง
จริงๆ เนื้อหามีมากกว่านี้นะครับ แต่ขอเอาลงมาบางส่วนเพื่อให้ความฉลาดของนางเอกท่านนี้ในการรับมือกับคำถามของผู้สื่อข่าว
เรื่องครอบครัวถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของบุคคล เราจึงได้เห็นหลายครั้งที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ต้องเสียน้ำตาระหว่างการตอบคำถาม จนกลายเป็นกระแสดราม่าและข่าวพาดหัวตามพื้นที่สื่อมวลชน
แน่นอนว่าสำหรับคุณแอฟ ลึกๆ ในใจก็ย่อมสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนกันในฐานะปุถุชนทั่วไป
แต่อากัปกิริยาของนางเอกชื่อดังไม่มีแสดงอาการของความอ่อนแอให้เห็นแม้แต่น้อยสามารถรับมือกับทุกคำถามของสื่อมวลชนได้เป็นอย่างดี เหมือนทำการบ้านมาก่อนโดยที่รู้อยู่แล้วเมื่อออกมางานอีเวนต์ย่อมต้องเจอกับกองทัพนักข่าวที่รอสัมภาษณ์เรื่องร้อนๆ ของเธอ
ถ้าจะว่ากันในเชิงเสรีภาพแล้ว คุณแอฟย่อมสามารถปฏิเสธและไม่ขอให้สัมภาษณ์เรื่องครอบครัวที่ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวได้ แต่เธอเองอาจมองว่า ถ้าทำเช่นนั้นอาจเป็นกระแสดราม่าไม่จบ และผลเสียก็อาจมาลงที่ลูก ทำให้เธอเลือกที่จะเดินหน้าตอบคำถามเพื่อทุกอย่างจะได้เคลียร์
การเลือกของคุณแอฟถือว่าถูกจังหวะและเวลาพอดีและตอบคำถามได้อย่างสวยงาม ไม่ให้ร้ายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด กลับกันยังพูดให้เกียรติแก่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ก่อนจบการสัมภาษณ์ด้วยการถ่ายภาพร่วมกับนักข่าวที่มาสัมภาษณ์
ทุกอย่างจบลงแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เธอเองได้หลุดจากกระแสดราม่าอันไร้สาระเสียที
พอเห็นการให้สัมภาษณ์ของคุณแอฟแล้ว ก็ตัดภาพมาที่การแสดงต่อสาธารณะของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองบางคน
ล่าสุด มีเหตุการณ์การเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารท่านหนึ่ง นักข่าวก็ทำหน้าที่ตามปกติด้วยถามผู้มีอำนาจในฐานะเป็นผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองและประชาชน เพื่อต้องการทราบแนวทางการแก้ไขปัญหา ปรากฏว่าได้คำตอบกลับมาว่า “ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร เราเอาคนที่เต็มใจ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อและแม่ที่เพิ่งสูญเสียลูกของตัวเอง จะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นคำให้สัมภาษณ์ของผู้มีอำนาจแบบนี้
หรือจะเป็นอีกคำพูดที่ของผู้มีอำนาจที่หลุดตวาดออกมาระหว่างเดินทางพบประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ว่า “ใจเย็นๆ อย่ามาเถียงกับผม พูดดีๆ ก็ได้ ผมพร้อมรับฟังปัญหา อย่ามากดดันรัฐบาล รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่...”
ใครหลายคนที่เห็นแล้วก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ช่างต่างกันลิบลับ ทั้งการใช้คำพูดและการเก็บอารมณ์
คนที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อประเทศอย่างคุณแอฟไม่จำเป็นต้องออกมาให้สังคมทราบเรื่องส่วนตัว แต่เธอสามารถยืนหยัดอธิบายแก่สังคมด้วยความสง่างาม
ส่วนอีกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาชนและบ้านเมือง กลับแสดงออกมาอย่างที่คนไทยทั้งประเทศได้เห็น
แต่เมื่อท่านผู้มีอำนาจออกมาขอโทษแล้ว คนไทยทุกคนก็พร้อมอภัย และมาเริ่มต้นกันใหม่ โดยหวังว่าจะไม่เจอกับการแก้ตัวในเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก เพราะอย่างที่บอกว่าถ้าพูดดีก็เป็นศรีแก่ปากของคนพูดเอง


