แฝดสาวช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน

โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

คู่พี่น้องฝาแฝดสาวสวย "นา" มนัสนันท์ สมเกียรติกูล แฝดน้อง และแฝดพี่ "แนน" ชนกนาถ สมเกียรติกูล สองสาวนี้เป็นนักธุรกิจขายตรงของบริษัท นูสกิน ในระดับ Elite Team มีมูลค่าสายธุรกิจ 40 ล้านบาท

หลังจากที่เริ่มต้นทำธุรกิจมาได้เพียง 6 ปี ตั้งแต่เรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทั้งสองไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน

ทั้งสองเล่าว่า เห็นคุณแม่ของเธอเป็นนักธุรกิจอิสระให้กับนูสกินมาตั้งแต่พวกเธอเรียนมัธยม มีรายได้ดี ทำมากได้มาก บริหารเวลาเองได้ เป็นนายตัวเอง พวกเธอจึงเริ่มลองทำนูสกินตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ลองๆ ซ้อมเพื่อหาประสบการณ์ 

โดยเป็นลูกทีมให้กับคุณแม่ของพวกเธอ หลังจากมีประสบการณ์มาพักใหญ่ พอเรียนจบก็แยกทีมออกมาบริหารเองเป็นเวลา 6 ปีเต็ม มีลูกทีม 100 กว่าคน ขยายตลาดสู่ออนไลน์ รีวิวไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ทำให้ได้ลูกค้าที่หลากหลายขึ้นมาก มีโอกาสเจอคนเยอะและรู้ว่าควรจะทรีตใครแบบไหนอย่างไร ทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคนหลายประเภท

ทั้งสองบอกว่าชินกับการทำงานอิสระอยู่ที่บ้าน นึกภาพไม่ออกว่าหากต้องทำงานนั่งประจำที่ออฟฟิศจะเป็นอย่างไร? แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานแบบเข้าเช้าเลิกเย็น แต่พวกเธอก็มีวินัย และทำงานกันได้ทุกที่ทุกเวลา โดยจะเข้าออฟฟิศเพื่อไปประชุมแค่เดือนละครั้ง ที่เหลือก็ทำงานผ่านออนไลน์ มีประชุมย่อยๆ กันทุกๆ 1 หรือ 2 สัปดาห์สักครั้งกับลูกทีม

“เราเป็นคู่แฝดที่ตัวติดกันตลอดเวลา เรียนมัธยมด้วยกัน เรียนมหาวิทยาลัยคณะเดียวกัน ทำงานด้วยกัน ไม่เคยแยกจากกันเลย แล้วก็ชินกับการทำงานอิสระบริหารเวลาด้วยตัวเอง ไม่ชินกับการทำงานประจำที่ต้องอยู่ที่ออฟฟิศทุกวัน เราจึงเลือกทำธุรกิจอิสระ เป็นนายตัวเอง นั่งทำงานที่บ้าน มีห้องทำงาน มีอุปกรณ์กล้องเพื่อไลฟ์สด รีวิวผ่านออนไลน์ต่างๆ แบบครบครันเลย ทุกวันนี้เทคโนโลยีช่วยทำให้ชีวิตทำงานที่ไหนก็ได้สะดวกขึ้นเยอะ

ที่สำคัญเป็นการทำธุรกิจที่ไม่ต้องมีต้นทุนค่าเช่าร้าน คนทำงาน ไม่ต้องสต๊อกสินค้า เราเพียงแค่ทำการตลาดให้แข็งแรงเท่านั้น” มนัสนันท์ สรุปถึงงานที่รัก

'แนน' จะมีความเป็นครีเอทีฟสูง แฝดผู้น้อง นา-มนัสนันท์ (ชุดสีเขียว) กล่าวถึงพี่สาว แนน-ชนกนาถ (ชุดสีชมพู) ว่า เขาจะเป็นผู้หญิงที่สวยและมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา พรีเซนต์สินค้าเก่ง 

“เขามีความเป็นครีเอทีฟสูง มีความเป็นผู้หญิงสูงมากด้วย แต่เขาไม่ทำงานแบบเพ้อฝัน ชอบทำงานแบบเป็นรูปธรรมสัมผัสจับต้องได้ ไม่เพ้อ ไม่ขายฝัน แล้วทำงานแบบมีความสุข เขามีพลังเยอะมาก ไม่เคยเห็นท้อ ลุยไปข้างหน้าเสมอ ทำงานละเอียด”

น้องสาวบอกว่าทำงานด้วยกันแล้วสบายใจ แม้จะเป็นคู่แฝดกัน ภาพกว้างคนภายนอกอาจจะมองว่าเธอทั้งคู่เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วในรายละเอียดเรามีความต่างกันบ้าง แต่ในเรื่องการทำงานทั้งคู่มีมุมมองที่เป็น ไปในทิศทางเดียวกันมีเป้าหมายร่วมกัน ภายใต้นโยบาย “เราคือเขา เขาคือเรา”

'นา' ทำงานแบบโค้ชชิ่ง ดูภาพกว้างไม่ชอบงานปลีกย่อยส่วนพี่สาว แนน-ชนกนาถ กล่าวถึงผู้เป็นน้องสาวว่า แม้ดูภาพลักษณ์ภายนอกว่าสวยอ่อนหวาน แต่นิสัยลึกๆ ของ นา-มนัสนันท์ นั้น ที่จริงแล้วนิสัยเหมือนผู้ชาย มีความเป็นแมนในตัวสูงมาก

"เขาชอบทำงานแบบดูภาพกว้างๆ ใหญ่ๆ ไปเลย ไม่ชอบลงรายละเอียด ไม่ชอบเรื่องจุกจิกปลีกย่อย เราก็เลยช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน เขาดูภาพกว้างไป เราก็คอยเก็บรายละเอียดให้ ทำงานกันคนละหน้าที่ จะได้ไม่มีความทับซ้อนกัน ซึ่งเราก็เรียนรู้ซึ่งกันและกันในเรื่องงานกันมาพอสมควร จากพี่น้องมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ก็ปรับตัวกันมาเรื่อยๆ จนลงตัวเพราะเราทำงานด้วยกันอย่างจริงจังมา 6 ปีแล้ว” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ความที่เป็นพี่น้องสนิทแนบแน่นกันมาแต่เกิด ทำให้รู้นิสัยใจคอกันดี แค่มองตาก็รู้ใจว่าอีกคนกำลังคิดอย่างไร ทำให้ความเป็นทีมของเธอทั้งคู่มีความแข็งแกร่ง จนสามารถทำแฟนเพจ “ทำไงให้สวยขึ้น” ที่มีผู้ติดตามถึง 4 หมื่นคน

พี่สาวบอกว่าทำงานกับน้องสาวแล้วสบายใจ เพราะน้องทำงานได้สมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรน่าห่วงไว้ใจได้ การที่ทำงานด้วยกันคิดว่ามีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย เพราะเธอทั้งคู่ส่งเสริมกันตลอด มีอะไรก็คุยกัน เตือนกันได้ตรงๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

“เขารับฟังนะ เวลาพี่พูดหรือแนะนำอะไร ที่ห่วงคือน้องเป็นคนเครียดง่ายไปหน่อย พอเขาเครียดหรือหงุดหงิด จะช่างบ่นๆ ไปเรื่อย (หัวเราะ) ที่ห่วงกลัวน้องจะกลายเป็นคนขี้บ่นนะเนี่ย ทุกวันนี้เราก็นอนด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต มีบ้างที่โกรธกันงอนกัน แต่ไม่เคยโกรธกันนานเกิน 2 วัน นอกจากนี้เรายังใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน ใช้เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ด้วยกัน” เธอกล่าวอย่างมีความสุข

เมื่อพี่สาวมีคู่ ทางด้านน้องสาว นาบอกว่ารู้สึกเป็นกังวลนิดหน่อย เพราะพี่สาวกำลังจะแต่งงานแยกบ้าน ก็ใจหายเพราะต้องมาปรับระบบชีวิตกันใหม่เรื่องการใช้เงิน เพราะต้องแยกกระเป๋ากันแล้ว (ยิ้มเศร้า) แต่พี่สาวก็ไม่ได้ไปอยู่ไกลมาก คงมาหากันได้บ่อยๆ เพราะต้องทำงานด้วยกันอยู่เหมือนเดิม

“ใจหายนี่จะเป็นครั้งแรกที่เราต้องแยกบ้านกันอยู่ ไม่มีใครที่จะสนิทกับเราเท่านี้อีกแล้ว เขาเป็นพี่สาวแสนดีที่สุด ไม่มีอะไรน่าห่วง อ้อ!... มีเรื่องใจร้อนคิดเร็วทำเร็วไปบ้าง ตรงไปตรงมา แล้วก็ขับรถเร็ว นี่คือเรื่องที่ห่วง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เขาน่ารักเสมอ เป็นครึ่งหนึ่งในชีวิตเรามาตลอดเวลา เป็นทุกอย่าง เป็นเพื่อนเป็นพี่ เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ รักที่สุดเลยคนนี้” เธอกล่าวอย่างจริงจัง