posttoday

สั่งสอนจนลืมสื่อสาร

14 ตุลาคม 2560

ผมได้ช่วยให้คำปรึกษาพ่อแม่หลายท่าน ที่เคยเลี้ยงลูกแบบสั่งสอนมาตลอด

โดย  ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ ภาพ : อีพีเอ

 ผมได้ช่วยให้คำปรึกษาพ่อแม่หลายท่าน ที่เคยเลี้ยลูกแบบสั่งสอนมาตลอด และคิดว่าการสั่งสอนคือการสื่อสารกับลูก จนวันที่ลูกเริ่มโต เข้าสู่วัยรุ่น ทีนี้ดันไม่สามารถสั่งและสอนได้เหมือนเดิม

 พ่อแม่ที่มาปรึกษาเลยทั้งปวดหัวและกังวล เพราะมักคิดว่าตัวเองได้กลั่นกรองและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกแล้ว จึงทำให้ไม่สามารถทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงที่ “แย่” ลงของลูกได้ เพราะเคยน่ารัก เคยยอม เคยเชื่อว่าพ่อแม่ถูก แต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งดันมีความคิดเป็นของตัวเองและไม่ยอมเหมือนแต่ก่อน

 พอมาถึงจุดนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็จะบ่นให้ผมฟังว่า เราสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ตอนนี้เลิกคุยกันไปแล้ว แต่จริงๆ สิ่งที่เกิดจริงไม่ใช่ปัญหาการสื่อสาร แต่เป็นการสอนแล้วไม่ฟัง การสั่งแล้วไม่ทำตามมากกว่า

 การสื่อสารจริงๆ ยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น…

 ปัญหาพ่อแม่ที่รักและดูแลลูกใกล้ชิดมาตลอด ใกล้จนทำให้เราลืมความจริงที่เจ็บปวดอย่างหนึ่งคือ เราเลี้ยงลูกได้ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น แล้วเราก็ต้องปล่อยเขา เพราะเราต้องเลี้ยงเขาให้โต (จากเรา) ไม่ใช่ติดเรา เราต้องเลี้ยงเขาเพื่อให้เขาดูแลตัวเองเป็น คือเป็นผู้ใหญ่ สมวัย เพราะในความเป็นจริง มนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติที่อยากมีความคิดเป็นของตัวเอง และอยากที่จะเลือกตัดสินใจอะไรต่างๆ ด้วยตัวเอง

 ดังนั้น พอลูกมาถึงจุดเปลี่ยน จุดที่โตเป็นวัยรุ่น เราอาจต้องเตือนตัวเองให้ปูความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกที่ดีที่สุด ในแบบที่ต่างจากที่เราเคยคิด เคยได้รับแนวทางมา คือแทนที่จะเน้นสั่งสอน เพราะกลัวลูกถูกด่าว่า "พ่อแม่ไม่สั่งสอน" เป็นการปูทางลูกให้ลองทดสอบสิ่งที่ตัวเองเชื่อ เพื่อฝึกเขาให้มีจุดยืน เรียนรู้เองบ้างว่าอะไรผิด อะไรถูก? โดยไม่เข้าไปสั่งสอนให้เขารู้สึกว่า เขาไม่ได้ลองคิดอะไรเองเลย

 การหยุดสั่งสอนลูกเป็นเรื่องยาก สำหรับพ่อแม่ที่ชินกับวิธีเลี้ยงลูกแบบเดิม เพราะการพูดขัดแย้งของเด็ก ทำให้เรารู้สึกว่าลูกเรา “เถียงหัวชนฝา” จนเราไม่อยากสื่อสาร เพราะไม่ได้ดั่งใจ กลายเป็นว่าเราต้องฟังลูกบ่นมากขึ้น ขัดเรามากขึ้น เราเองก็ทำงานหนัก หาเลี้ยงลูกอยู่แล้ว ยังต้องมาฟังลูกบ่น เถียงกลับ ไม่เห็นด้วย

 ส่วนใหญ่เมื่อลูกไปถึงจุดนี้ พ่อแม่หลายคนจะใช้ไม้ตายก็คือ มองลูกเป็นคนไม่ดี ไม่กตัญญูรู้บุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา ทำให้ลำบากใจ ที่เห็นส่วนใหญ่จะทำให้ลูกรู้สึกว่า ตัวเองไม่น่าเกิดมาเลย ถ้าเกิดมาแล้วพ่อแม่ลำบากขนาดนี้ (จริงๆ พูดบ่น ตัดพ้อลูกเท่านั้น ไม่ได้คิดแบบนั้นจริง แต่ลูกเครียดจริง)

 พ่อแม่ส่วนใหญ่คิดว่า “การสื่อสารความคาดหวัง” คือ “การสื่อสารกับลูก” คือสิ่งเดียวกัน แต่จริงๆ สิ่งที่ทำเป็นการสั่งสอนมากกว่าการสื่อสารสองทาง พ่อแม่มักคิดว่าลูกก็คือลูก ไม่สามารถสะท้อนอะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ได้ การสื่อสารสองทางจึงไม่เกิด

 บางทีสิ่งที่ลูกตอบกลับอาจไม่ถูกหู แต่ถ้าเราตั้งใจฟังดีๆ เราอาจจะเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของความสัมพันธ์ที่เรามีส่วนทำให้มันพลาดด้วยเช่นกัน

 การสื่อสารกับลูกวัยรุ่น ต้องเป็นการสื่อสารสองทาง ถ้าพ่อแม่ยังออกแนวสั่งสอนเป็นหลัก และให้ลูกฟังอย่างเดียว ไม่พูดกลับ เราเองจะล็อกสมองไม่เรียนรู้อะไรจากลูก เพราะมองว่าลูกต้องเรียนรู้จากพ่อแม่เท่านั้น

 ยิ่งยุคปัจจุบันลูกเปิดรับข้อมูลที่กว้างขึ้นจากโลกและอินเทอร์เน็ต ถ้าพ่อแม่ไม่เรียนไปพร้อมกับลูก ในที่สุดจะคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะลูกโตเกินที่จะอยากฟังอย่างเดียว และมักจะเป็นแทบทุกบ้าน เพราะเด็กวันหนึ่งก็ต้องโต โตตามวัยของเขา

 จะว่าไปบางเรื่องลูกเขาก็รู้มากกว่าเรา เพียงแต่เราไม่อยากยอมรับเท่านั้น เพราะเราไม่เคยคิดว่า มันจำเป็นที่ต้องให้ลูกมาสอนพ่อแม่

 พ่อแม่ที่สั่งสอนลูกจนชิน พอลูกโตมากๆ มักจะวางตัวลำบากขึ้น เพราะตัวเองเคยได้จัดการทุกอย่างให้ลูกทำตาม พอลูกเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พ่อแม่ที่ไม่เคยทำตัวเป็นเพื่อนจริงๆ ไม่เคยฟังแบบตั้งใจ ไม่เคยต่อรองกับลูก เหมือนเพื่อนทำกัน จะทำใจเป็นเพื่อนยาก และทำไม่ได้ในที่สุด แต่ถ้าถามพ่อแม่ทุกคนก็อยากเป็นเพื่อนกับลูก

 ทุกคนเชื่อว่าได้เป็นเพื่อนกับลูก ถึงเวลาตอนปฏิบัติจริง มันยากกว่าสิ่งที่พ่อแม่คิดว่าตัวเองทำได้ เพราะเพื่อนเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม ที่สื่อสารสองทาง นอกจากนั้น ความเป็นเพื่อนยังเป็นเรื่องของการแสดงความรู้สึกว่าเข้าใจกัน รู้ใจกัน ยิ่งสนิทยิ่งรู้ว่าอะไรเรื่องเล็ก อะไรเรื่องใหญ่

ปัญหาปัจจุบันที่ผมเห็นประจำ และเป็นสิ่งที่ปวดหัวพ่อแม่แทบทุกบ้านคือ เมื่อลูกโตเป็นวัยรุ่น เรื่องเล็กๆ ของลูกกับของพ่อแม่มักไม่ตรงกัน เรื่องใหญ่ของพ่อแม่ เช่น ลูกเดินออกไปนอกบ้าน พ่อแม่อาจมองว่าอันตราย ลูกอยากทำสีผม พ่อแม่มองว่าไม่สุภาพ แต่ลูกมองว่าไม่เห็นมีอะไร ลูกกลับบ้านช้า การขอไปเที่ยวค้างต่างจังหวัดกับเพื่อน การกลับบ้านเอง พ่อแม่ก็มองว่าเป็นเรื่องใหญ่

 ในทางกลับกัน เรื่องที่พ่อแม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ กลับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูก เช่น เป็นสิว พ่อแม่มองว่าเดี๋ยวก็หาย แต่ลูกเครียดมาก เหมือนโลกจะแตก หรือลูกอกหัก เพิ่งเลิกกับแฟน พ่อแม่มองว่าไม่เป็นไร แต่ลูกเริ่มซึมเศร้า ไม่อยากเจอใคร จนใช้ชีวิตไม่ได้ เป็นต้น

 การมองมุมลูก ยากตรงที่เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ของลูกกับของเรา มันมักสวนทางกัน จนทำให้เราเริ่มกลับมาสั่งสอนให้ลูกเอาตามทางเรา เพราะเราไม่อยากฟังทางของลูก เรามองการสื่อสารกับการสั่งสอนเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเราไม่ชินที่ลูกไปคนละทางกับเรา เรากลัวลูกเป็นเด็กไม่ดี กลัวเขาเสียคน ซึ่งพอเข้าใจได้ เพราะเขาเปลี่ยนไป ไม่น่ารักเหมือนเก่า

 พ่อแม่ไทยส่วนใหญ่สื่อสารความรักไม่เป็น มักคิดว่าการเตือน การสั่งสอน นั้นคือความรักแล้ว เพราะเราอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ทางจิตวิทยา ลูกเมื่อโตขึ้น เขาต้องการจากเรามากกว่าการสั่งสอนสิ่งเล็กๆ ที่เราพอปรับได้ เพื่อให้การสื่อสารของเราไม่ได้มีแต่การสั่งสอน จนเขาตึง อาจทำได้โดย

 1.พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาเชื่อ สิ่งที่เขาคาดหวังบ้าง แล้วเรียนรู้ไปกับเขา แทนที่จะรีบบอกว่าเราคาดหวังอะไรจากเขา เราอาจฟังก่อนว่าจุดยืนลูกคืออะไร? แล้วค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ ทำความเข้าใจกันว่าพ่อแม่มองเหมือนหรือต่างอย่างไร? แต่อย่ารีบสื่อสารความคาดหวัง จนกว่าเราจะเข้าใจจุดยืน สิ่งที่ลูกหวังให้เรียบร้อยก่อน

 2.ใช้เวลากับลูกโดยฝึกฟังเขามากขึ้น อย่าเพิ่งรีบคิดว่า “เรื่องเล็ก” เพราะเราอาจทำให้เขาไม่อยากคุยกับเราอีก เพราะมันไม่สำคัญสำหรับเราพอ เขาเลยไม่อยากเสียเวลาคุย

 3.เป็นกระจก คือ “ทวนความรู้สึกลูก” ถ้าเขาบอกว่า “พ่อแม่ไม่เข้าใจ” ก็ต้องทวนความรู้สึกแล้วถามว่า ที่บอกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจยังไง ลูกลองเล่าให้ฟังหน่อย ง่ายๆ คือ เราต้องไม่ด่วนสรุปตัดสิน ต้องไม่มองว่าความคิดเขาไร้สาระ พยายามคิดว่าตอนเราอายุเท่าเขา เราก็อาจเคยคิดแบบนี้มาก่อนก็ได้

 ทั้งหมดเป็นคำแนะนำเบื้องต้นที่เราอาจต้องรีบทำความเข้าใจ ก่อนที่เราจะไม่สามารถสื่อสารกับลูกได้อีก เพราะเรามัวแต่สั่งสอน จนลืมสื่อสารนั่นเอง

ข่าวล่าสุด

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”