ชิลชิล 1 วัน ในพังงา
ทันทีที่ก้าวพ้นสะพานสารสิน นั่นหมายถึงเราได้ก้าวเข้าสู่ จ.พังงา กันแล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้หวังจะท่องเที่ยวเหมือนใครๆ
โดย...สืบสิน
ทันทีที่ก้าวพ้นสะพานสารสิน นั่นหมายถึงเราได้ก้าวเข้าสู่ จ.พังงา กันแล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้หวังจะท่องเที่ยวเหมือนใครๆ แต่ตั้งใจเพียงว่าขอแค่หลุดพ้นมาจากเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย บอกได้เลยว่าช่างสบายนักเมื่อเราได้เดินทางมาเยี่ยมน้องๆ ที่โรงเรียนเยาววิทย์ จ.พังงา ที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือให้แก่เด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ รวมไปถึงเด็กๆ ที่ได้รับผลพวงจากโรคร้ายและสถานภาพทางสังคมที่ย่ำแย่ เพื่อเตรียมตัวให้พวกเขาพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต
หลังจากที่เราได้เยี่ยมน้องๆ ที่เปี่่ยมไปด้วยความสุข ความหวัง และรอยยิ้มอันน่าชื่นใจ ปลุกพลังให้เราเดินทางต่อไปเพื่อหามุมสงบทางจิตใจกันที่วัดเทสก์ธรรมนาวา หรือ “วัดป่าไทร” วัดที่สร้างขึ้นจากป่าช้า ทว่างดงามยิ่งนัก
รอยยิ้มอันเปี่ยมสุข ณ โรงเรียนเยาววิทย์
โรงเรียนเยาววิทย์เป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้ด้อยโอกาสที่มีประวัติทางสังคม ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือให้แก่เด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ รวมไปถึงเด็กๆ ที่ได้รับผลพวงจากโรคร้ายและสถานภาพทางสังคมที่ย่ำแย่ เพื่อเตรียมตัวให้พวกเขาพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต ด้วยความมุ่งหวังว่าการศึกษาที่พวกเขามอบให้จะสร้างโอกาสและเครื่องมือที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความยากจนและเปิดประตูไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้
ราวกลางเดือน ม.ค. 2548 เพียงสองสามสัปดาห์หลังจากคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่มชายฝั่ง โรงเรียนเยาววิทย์ก็ได้ถูกสร้างขึ้นบนที่ดินขนาด 137.5 ไร่ ห่างออกไปทางทิศใต้ของหมู่บ้านกะปง เพื่อให้สามารถรองรับนักเรียนประจำ จำนวน 180 คน และนักเรียนไปกลับปกติอีกจำนวน 50 คน
เมื่อโรงเรียนแล้วเสร็จบางส่วน จึงได้จัดให้มีพิธีเปิดส่วนแรกสำหรับนักเรียนประจำไปเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2549 โดยมี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธาน จากนั้นในวันที่ 17 ของเดือนถัดมา โรงเรียนก็ได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ
ปัจจุบันโรงเรียนเยาววิทย์เปิดสอนทั้งในระดับอนุบาลและชั้นประถม อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนยังวางแผนสำหรับอนาคตไว้ว่าจะเปิดสอนนักเรียนในระดับมัธยม รวมถึงระดับชั้นที่สูงขึ้นไปอีกด้วย
ด้วยสีหน้าและรอยยิ้มจากการต้อนรับด้วยความเต็มใจของเด็กๆ ที่นี่ ทำให้เรารับรู้ทันทีว่าความเศร้าที่อยู่ในใจของพวกน้องๆ ดูเหมือนจะเลือนหายไป น้องๆ ตั้งใจเรียนและร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่โรงเรียนจัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฟ้อนรำ การปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงแกะ และยังเป็นชาวสวนตัวน้อยที่คอยเก็บเกี่ยวผลไม้ประจำฤดูกาล
อันที่จริงแล้วด้วยผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ชาวบ้านกะปงจึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ป้อนผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะผลไม้ เช่น มังคุด เงาะ และรวมไปถึงทุเรียน ที่นี่มีทุเรียนสายพันธุ์ดี นั่นคือทุเรียนสายพันธุ์สาลิกาที่มีที่ อ.กะปง เท่านั้น
และวันนั้นเราก็โชคดีที่ได้มีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของทุเรียนพันธุ์นี้ในราคาถูก จากการจัดงานตลาดนัดประจำปีของ อ.กะปง นั่นเอง รสชาติของทุเรียนที่นี่ตามความรู้สึกของผม ผมว่าเป็นทุเรียนที่เอาข้อดีของพันธุ์หมอนทองและชะนีเข้าไว้ด้วยกัน ลูกเล็กๆ เนื้อแน่นหวานกำลังดี ซึ่งน้องๆ จากโรงเรียนเยาววิทย์ก็มีส่วนไปร่วมแสดงกิจกรรมและนำสินค้าอย่างมังคุดและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติอย่างผงขัดตัว ยาดม ยาหม่อง ครีมกันปวดเมื่อย ของดีจากโรงเรียนมาจำหน่ายด้วยความสนุกสนานอีกด้วย
และที่นี่ยังมีห้องพักบังกะโลที่สวยงามในบริเวณโรงเรียน และมีทุกกิจกรรมที่พวกเขานำเสนอสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้งาน ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวที่สนใจช่วยเหลือสังคมไม่ควรพลาด
จากป่าช้า สู่วัดท่าไทร อันงดงาม
ท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติ ริมหาดทรายขาวและเงียบสงบ และทิวสนอันพลิ้วไหวริมชายฝั่งอันดามัน ณ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวัดเทสก์ธรรมนาวา หรือ “วัดป่าไทร” (ชื่อเดิม) ตั้งอยู่ที่บ้านท่าแตง ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เป็นวัดริมทะเลบริเวณหาดชายทะเลท่าไทร
ในอดีตพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นป่า เรียก “ป่าท่าไทร” ซึ่งนอกจากจะเป็นป่าของต้นไม้น้อยใหญ่แล้ว ยังเคยเป็น “ป่าช้า” มาก่อน อันเนื่องมาจากในอดีตป่าท่าไทรแห่งนี้ ชาวบ้านในพื้นที่และละแวกใกล้เคียงเมื่อมีการเสียชีวิตลงก็จะนำศพล่องเรือมาเผาหรือฝังยังป่าท่าไทรแห่งนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกขานกันว่า “อ่าวเหรว” หรือแอ่งน้ำในป่าช้า
ขณะที่แนวพื้นที่หาดชายทะเลท่าไทรนั้น เป็นแนวป่าสนชายฝั่งทะเลมีชายหาดทอดตัวยาวไกล เป็นหาดที่สงบและสะอาด จึงมีเต่าทะเลต่างๆ ขึ้นมาวางไข่ที่หาดแห่งนี้เป็นประจำ
ในยุคสมัยที่การทำเหมืองแร่ใน จ.พังงา เจริญรุ่งเรือง มีเรื่องเล่าว่า พื้นที่โดยรอบของป่าท่าไทรสามารถทำเหมืองได้หมด ยกเว้นที่ป่าท่าไทร ซึ่งเป็นดังไข่แดงอยู่ตรงกลาง ส่วนจะเป็นเพราะอะไรนั้นไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าเป็นพื้นที่อาถรรพ์ พอถึงยามตะวันตกดิน ชาวบ้านจะรีบเดินทางออกจากป่าท่าไทรก่อนพลบค่ำทันที
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2533 ได้มีพระชัยพล อาสโภ และพระอานนท์ พระผู้ติดตาม ได้เดินทางเข้ามาบำเพ็ญภาวนา ด้วยเห็นว่าพื้นที่ป่าท่าไทรมีความเงียบสงบ เหมาะต่อการปฏิบัติภาวนา หลังจากนั้นแรงศรัทธาจากชุมชนและในพื้นที่ใกล้เคียงที่รู้ข่าวก็ได้ร่วมใจกันมาสร้างเป็นที่พักสงฆ์ มีการสร้างศาลามุงจาก สร้างกุฏิให้พระจำพรรษา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 พระอาจารย์เสนอ วัดถ้ำทะเลหอย จ.กระบี่ ได้ขอพื้นที่จากอธิบดีกรมป่าไม้สมัยนั้น อนุมัติให้ใช้พื้นที่ตามโครงการพุทธศาสนากับป่าไม้ ในชื่อโครงการว่า ศูนย์สาธิตพระพุทธศาสนากับป่าไม้ ภายใต้การกำกับดูแลของวัดประชาธิการาม
ปี พ.ศ. 2537 แหล่งปฏิบัติธรรมแห่งนี้ได้ก่อตั้งเป็นสำนักสงฆ์ท่าไทร โดยได้รับการอนุญาตจากทางการ ในเรื่องการขอใช้พื้นที่เพื่อเป็นศาสนสถานในการประกอบศาสนกิจ และบำเพ็ญกุศลของชาวบ้านในหมู่บ้านท่าแตงและละแวกใกล้เคียง ทว่าหลังจากนั้นสำนักสงฆ์ท่าไทรได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่มีพระภิกษุมาพำนักอยู่ในบางขณะ เนื่องจากสำนักสงฆ์ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ
กระทั่งในปี พ.ศ. 2546 ได้มีการนิมนต์ “พระอาจารย์วินัย รัตนวณฺโณ” หนึ่งในผู้ที่ได้อยู่ปฏิบัติอาจริยวัตรกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย มาเป็นเวลานาน 16 ปี จวบตนหลวงปู่เทสก์ท่านละสังขาร
พระอาจารย์วินัยเมื่อมาพำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์ท่าไทร ก็ได้นำพาศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนก่อสร้างเสนาสนะพร้อมอบรมปฏิบัติธรรมในที่ดินสาธารณประโยชน์หรือป่าช้าเดิม
จากนั้นพระอาจารย์วินัยได้ดำเนินการก่อตั้งวัดขึ้น จนกระทั่งได้รับอนุญาตให้สร้างวัดจากกรมการศาสนาเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2553 และได้รับอนุญาตให้ตั้งวัดในพระพุทธศาสนาเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2553 นามว่า “วัดเทสก์ธรรมนาวา”
วัดเทสก์ธรรมนาวา หรือวัดท่าไทร ปัจจุบันมีสิ่งก่อสร้างสำคัญคือ “พระอุโบสถไม้สัก” ขนาดกว้าง 8.30 เมตร ยาว 23.10 เมตร สูง 13.54 เมตร โบสถ์ไม้สักหลังนี้เป็นอาคารทรงไทยอ่อนช้อยงดงาม โครงสร้างภายนอกจำลองแบบมาจากพระอุโบสถพระอรัญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มาประยุกต์สร้างด้วยไม้ ส่วนช่อฟ้าของโบสถ์แกะสลักจากช่างฝีมือชาวเชียงใหม่
ภายในโบสถ์ไม้สักมีผนังเป็นฝาปะกน มีแท่นพระประธาน ชั้นบนประดิษฐานพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา แกะสลักจากหินหยกขาว อิทธิพลศิลปะอินเดีย มีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 55 นิ้ว สูงประมาณ 2.15 เมตร มีพุทธลักษณะที่อ่อนช้อยงดงามเปี่ยมศรัทธา
ส่วนบริเวณรอบโบสถ์ไม้สักมีกำแพงแก้วเป็นไม้ ใบเสมาแกะสลักจากหินหยกขาวมีรูปพระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง ตรงบันไดทางเข้าโบสถ์ประดับเสาอโศกสีทองอร่าม
โบสถ์ไม้สักวัดท่าไทรมีอีกหนึ่งลักษณะพิเศษ นั่นก็คือจะประดับประดาด้วยงานไม้แกะสลักฝีมือช่างจากอยุธยาอันประณีต อ่อนช้อย ทั้งตามบริเวณบานประตู หน้าต่าง หน้าบัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ โดยเฉพาะที่บานหน้าต่างนั้นโดดเด่นไปด้วยงานแกะสลัก ปรมัตถบารมี 10 ซึ่งเป็นการบำเพ็ญบารมีชั้นสูง การเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอีกด้วย
แม้ว่าวัดจะอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลอันดามัน แต่เมื่อเขามานั่งในโบสถ์อันงดงามแห่งนี้ ก็ทำให้จิตใจสงบและเบิกบานใจพร้อมสู้ต่อกันแล้วล่ะครับ
ขอขอบคุณ โรงแรมธัญญปุระ รีสอร์ทสุขภาพและกีฬา จ.ภูเก็ต ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล ที่พัก และการเดินทาง โทร. 076-336-000 [email protected]


