posttoday

“โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” วิธีการสังเกตุอาการ ป้องกัน และ การรักษา

25 สิงหาคม 2560

หู เป็นอวัยวะสำคัญที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป เพราะเกิดปัญหาน้อย เท่าที่สังเกต ผู้คนในทุกวันนี้จะมีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

โดย...พริบพันดาว

หู เป็นอวัยวะสำคัญที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป เพราะเกิดปัญหาน้อย เท่าที่สังเกต ผู้คนในทุกวันนี้จะมีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือหลายคนเรียกรวมๆ กันให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อาการบ้านหมุน ซึ่งถูกพบมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และก็ไม่มีใครจะคาดคิดว่าอาการเหล่านี้จะเกี่ยวกับเรื่องในหูโดยตรง

โดยเฉพาะคนในวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับอาการข้างต้นกันมาก เพราะมีวิถีและการใช้ชีวิตในแบบสมัยใหม่ที่ต้องเผชิญกับความเครียด การบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยรสชาติเค็มจัด การอยู่ท่ามกลางอากาศร้อนและอบอ้าว ดื่มสุรา ชา กาแฟ และสูบบุหรี่ รวมถึงไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

โรคบ้านหมุนและเวียนหัวโดยส่วนมากจะสันนิษฐานว่า เกิดจาก “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” ซึ่งเป็นภาษาที่เรียกกันทั่วไป แต่ทางการแพทย์จะเรียกว่า “โรคแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ” หรือ โรคเมเนียร์ (Meniere’s disease) พบค่อนข้างบ่อย เป็นโรคที่พบอันดับ 2 ของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ มักเป็นหูข้างใดข้างหนึ่งก่อน และมีประมาณ 15-20% ที่เป็นหูทั้งสองข้าง

การสันนิษฐานที่เหมารวมว่า เวลาหน้ามืดเวียนหัวและบ้านหมุนนั้น เป็นเพราะเกิดอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะอาการเหล่านี้ก็อาจจะเป็นโรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด (Benign Paroxysmal Positional Vertigo : BPPV) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “หินปูนในหูหลุด” ก็เป็นไปได้

เพราะฉะนั้น การตรวจและวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างละเอียด จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับสองโรคที่เกี่ยวกับหูชั้นในที่เป็นบ่อเกิดของอาการบ้านหมุนทรงตัวไม่อยู่

จุดสังเกตของทั้งสองโรคนี้ พญ.ภาณินี จารุศรีพันธุ์ ฝ่ายโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้เขียนบทความบอกไว้ว่า คนส่วนมากคิดว่าอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน การได้ยินลดลงเกิดจากสาเหตุของน้ำในหูไม่เท่ากัน ทั้งนี้อาการของตะกอนหินปูนในหูเคลื่อนกับน้ำในหูไม่เท่ากันจะมีอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่จะมีข้อแตกต่างคือ อาการของน้ำในหูไม่เท่ากันจะมีอาการต่างๆ ดังที่กล่าวมานานเกิน 20 นาทีขึ้นไปถึง 2 ชั่วโมง แล้วไม่นานก็จะกลับมาปวดหัวหรือมีอาการดังกล่าวอีก โดยจะมีลักษณะเป็นๆ หายๆ ซึ่งโรคนี้มีโอกาสเป็นได้ทุกเพศและทุกวัย เพราะเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบมากในวัยทำงานที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เนื่องจากโรคนี้ไม่มีความจำเพาะของพยาธิสภาพ แพทย์จะรู้แต่เพียงว่าความดันในหูไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการที่ตรวจพบ โดยจะให้ยาขับปัสสาวะเพื่อลดสภาวะอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน รวมทั้งยาขยายหลอดเลือด ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ตลอดจนยากล่อมประสาทและยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและนอนหลับได้เป็นปกติ

ส่วนอาการของตะกอนหินปูนในหูเคลื่อนจะมีไม่เกิน 1 นาที เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะเป็นๆ หายๆ โดยมีพยาธิสภาพอยู่ที่หูชั้นใน โดยอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน มักสัมพันธ์กับการเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ ผู้ป่วยมักมีอาการเวียนศีรษะไม่นาน มักเป็นวินาทีหรือนาที หลังมีการเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ และมักจะมีตากระตุกทำให้มองไม่ชัด ขณะมีอาการหรือมองเห็นภาพซ้อน แต่ตามักจะกระตุกอยู่นานประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาทีเท่านั้น และอาการเวียนศีรษะดังกล่าว จะค่อยๆ หายไป แต่เมื่อผู้ป่วยเคลื่อนไหวศีรษะในท่าเดิมอีก ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการเวียนศีรษะได้อีก

ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเวียนศีรษะได้หลายครั้ง เป็นๆ หายๆ ใน 1 วัน และอาจมีอาการวิงเวียนอยู่ได้เป็นวันหรือสัปดาห์ หลังจากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้น และหลังจากหายดีแล้ว ผู้ป่วยอาจกลับเป็นซ้ำได้อีก โรคนี้พบได้ในคนอายุ 30-70 ปี (พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก) และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในอัตราส่วน 1.5-2 : 1 และมักพบในคนสูงอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี) โรคนี้สามารถเกิดในหูทั้งสองข้างได้ประมาณร้อยละ 15 และอาจพบร่วมกับโรคไมเกรนได้ 

+การรักษาโรคหินปูนในหูชั้นใน แพทย์จะให้คำแนะนำและรักษาตามอาการ เช่น ในขณะที่มีอาการให้หลีกเลี่ยงจากท่าที่กระตุ้นให้เกิดอาการส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นได้เอง โดยเฉพาะหลังจาก 1 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่เกิน 1 เดือน อาจให้ยาช่วยบำบัดอาการในระยะแรกๆ ในกลุ่มนี้จะต้องระวังกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดอาการและมีอันตรายต่อผู้ป่วย ให้การรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นวิธีที่ปัจจุบันนิยมและยอมรับว่าได้ผล การทำกายภาพบำบัดเพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนหรือแคลเซียมออกจากอวัยวะทรงตัวในหูชั้นในที่เป็นรูปเกือกม้า เมื่อตะกอนหินปูนเคลื่อนออกมาแล้วก็จะไม่กระตุ้นให้เกิดอาการเวียนศีรษะอีก วิธีนี้กระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเวียนศีรษะเท่านั้น

เพราะฉะนั้น จึงพอสรุปได้ว่า หากใครที่บ้านหมุนเวียนหัวทรงตัวไม่อยู่เป็นระยะเวลา 20 นาทีขึ้นไป และอาการหูอื้อร่วมด้วย ก็จะเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ส่วนตะกอนหินปูนในหูหลุดก็จะมีอาการแค่สั้นๆ ชั่วประเดี๋ยวก็หายไป ซึ่งก็เป็นการเช็กดูตัวเองเพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นที่ตรวจสอบด้วยตัวคุณเองได้

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’