ผ้าผืนใหม่เมืองอุบลฯ 'ผ้ากลีบบัว' เปิดตัวสีชมพูหวาน
ผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดของฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เตรียมนำมาโชว์ในงาน Thailand Research Week : มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560
โดย...ปอย
ผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดของฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เตรียมนำมาโชว์ในงาน Thailand Research Week : มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017) ระหว่างวันที่ 23-27 ส.ค.นี้ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ คงถูกใจคอแฟชั่นผ้าไทยอย่างแรง กับการสร้างสรรค์ผลงานโดยนักวิจัย ผศ.ดร.สิทธิชัย สมานชาติ อาจารย์ประจำคณะศิลปประยุกต์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คิดค้นผ้าผืนใหม่ให้เมืองอุบลฯ ขึ้นมาได้
ผ้าทอกาบบัวผืนใหม่ หรือมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า “ผ้ากลีบบัวอุบล” สีชมพูอ่อนหวาน มีสีเหลือบอ่อนแก่ในผืนเดียวกัน แม้มองด้วยตาก็ให้ความรู้สึกเหมือนชมดอกบัวชูช่อตามธรรมชาติ
สิทธิชัย นักวิจัยเจ้าของผลงาน กล่าวย้ำอย่างภาคภูมิใจว่า ไม่เพียงแต่จะช่วยอนุรักษ์ผ้าทอเมืองอุบลฯ แต่ผลงานทำให้เกิดองค์ความรู้กับชุมชนทอผ้าพื้นเมือง งานวิจัยได้รับใช้ชุมชนสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาการทอผ้าพื้นเมืองสร้างรายได้แบบยั่งยืน
ผ้ากลีบบัว แรงบันดาลใจจากผ้ากาบบัว
ในฐานะลูกอีสานมีความภาคภูมิใจในถิ่นกำเนิด อีกทั้งหลงใหลในวัฒนธรรมการแต่งกายของท้องถิ่น รวมถึงอยู่ในเส้นทางสายวิชาการด้านสิ่งทอมาตลอด จึงทำให้ ผศ.ดร.สิทธิชัย สมานชาติ อาจารย์คณะศิลปประยุกต์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เดินหน้าศึกษาค้นคว้าจนได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าทออีสานตัวกลั่นตัวจริงคนหนึ่ง
การเปิดตัว “ผ้ากลีบบัวอุบล” ผืนนี้ได้แรงบันดาลใจจาก “ผ้ากาบบัว” ผ้าทอประจำ จ.อุบลราชธานี หลายๆ คนได้ยินชื่อเสียงผ่านหูผ่านตา กระทั่งเคยได้ใช้ได้สัมผัสผ้าผืนเดิมกันอย่างดีแล้ว
สิทธิชัย อธิบายประวัติผ้าอีกผืน “ผ้ากาบบัว” กำเนิดเมื่อปี 2543 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ในปีนั้น ศิวะ แสงมณี มอบหมายให้คณะทำงานคิดสร้างสรรค์ผ้าโชว์เอกลักษณ์วัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองอุบลราชธานี และประกาศให้ผ้ากาบบัวเป็นลายผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัด
“ผ้ากาบบัวมีวิธีย้อมสีจากพืชพรรณธรรมชาติ เพื่อให้ได้สีสันในผืนผ้าเหมือนกาบบัวมากที่สุด ผ้าย้อมสีไล่อ่อนแก่จากขาว ชมพู เทา เขียว น้ำตาล จึงใช้ได้ทั้งหญิงและชาย การคิดต่อยอดผ้าผืนใหม่ ผ้ากลีบบัว ผืนใหม่เลือกโทนสีชมพูเป็นหลัก สีชมพูนี้ได้จากครั่ง โดยปกติครั่งจะให้สีแดง เราทำการศึกษาว่าต้องใช้ครั่งปริมาณแค่ไหน จึงจะได้สีชมพูในแบบที่ต้องการ
อุณหภูมิเหมาะสมกับการย้อมสีเส้นไหม ซึ่งใช้เวลาในการลองผิดลองถูกกันนานมากครับ กว่าจะได้สีชมพูมีความอ่อนหวานเหมือนสีกลีบบัวจริงๆ รวมถึงเทคนิคการทอผ้ากาบบัวของเดิมใช้ 5 เทคนิค มีการลดทอนให้เหลือ 4 เทคนิค จนได้ริ้วของผ้าที่สัมผัสด้วยมือ แล้วมีความรู้สึกเหมือนว่าเราลูบไล้กลีบบัวสด อย่างไรอย่างนั้นเลยครับ”
การทำงานครั้งนี้ สิทธิชัยได้ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับชุมชนทอผ้าใน จ.อุบลราชธานี โดยเลือก “บัวอุบลสีชมพู” มาเป็นแนวคิดหลัก การศึกษาเริ่มตั้งแต่การย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติ ซึ่งผ้ากาบบัวหนึ่งผืนต้องใช้สีชมพูในโทนสีมากกว่าสองโทน การวางเส้นในการทอ
นอกจากทอเป็นผืนแล้ว ดร.สิทธิชัย ยังต่อยอดเพิ่มมูลค่าผ้ากลีบบัวด้วยการเพิ่มหัวซิ่นและตีนซิ่น เพื่อนำไปนุ่งเป็นซิ่น
“เอกลักษณ์การนุ่งซิ่นของสาวอุบลฯ แตกต่างจากซิ่นอีสานจังหวัดอื่นอย่างชัดเจนครับ ตรงตีนซิ่นต้องเล็กมีความกว้างประมาณ 2 นิ้ว ส่วนหัวซิ่นลายจกดาวและต้องนุ่งแบบโชว์หัวซิ่น ไม่ได้เก็บม้วนเหมือนซิ่นที่อื่นๆ จึงจะเรียกว่า นุ่งซิ่นแบบผู้ดีเมืองอุบลฯ
จากการศึกษาได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่หลายท่าน นักสะสมผ้าโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ม.ล.ภูมิใจ ชุมพล ซึ่งเป็นทายาท ม.จ.บุญจิราธร (ชุมพล) จุฑาธุช ที่มีความผูกพันกับจังหวัดนี้ เนื่องจากพระบิดาของท่านเคยรับราชการประจำที่ จ.อุบลราชธานี ท่านหญิงบุญจิราธรทรงมีซิ่นแบบเมืองอุบลฯ และ ม.ล.ภูมิใจก็ได้ให้ความกรุณาให้เราได้ศึกษาลายผ้าโบราณต่างๆ ที่เป็นผ้าทอเมืองอุบลฯ รวบรวมเป็นผลงานเว็บไซต์ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปี 2559 และได้ส่งเสริมให้ชุมชนทอผ้าได้ฟื้นฟูลายผ้าโบราณต่างๆ อีกครั้งครับ”
ผ้ากลีบบัว ลายหัวซิ่นและตีนซิ่นนำลายผ้าทออุบลโบราณ สิทธิชัย อธิบายว่า ถอดแบบและประยุกต์จากลายผ้าของท่านหญิงบุญจิราธรและนำมาพัฒนาใหม่ เช่น ลายตีนซิ่น และลายโบราณ จะลายดอกใหญ่ แต่ของเราลดทอนลายให้มีขนาดเล็กลงเพื่อใส่ได้ง่ายขึ้น
สำหรับการต่อยอดผลงานสู่การวิจัย นอกจากเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับผ้าทอผืนใหม่แล้ว อีกเหตุผลสำคัญก็คือ กลุ่มคนทอผ้ากาบบัววันนี้ลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากราคาไม่ค่อยดี จึงเป็นที่มาของการนำงานวิจัยส่งเสริมชุมชน กับโจทย์ทำอย่างไรจะทำให้ชาวบ้านขายผ้าทอมือได้ราคาดีขึ้น
“ผ้ากาบบัวของเดิมก็ได้แรงบันดาลใจมาจากริ้วของดอกบัว แต่วิธีการย้อมสีผ้าโบราณแบบดั้งเดิมนั้นสีมีความสด ความเข้มเพื่อให้มองเห็นได้ในระยะไกล ส่วน การทอ การขิดผ้านั้นได้แค่สัมผัสระนาบเดียว แต่งานวิจัยที่ศึกษาขึ้นใหม่เราต้องการให้ผ้ากลีบบัวผืนใหม่นี้ เมื่อมองด้วยตาหรือได้สัมผัสด้วยมือจะให้ความรู้สึกเหมือนเราสัมผัสกลีบดอกบัวของจริงมากที่สุดเลย
เส้นไหมมีการย้อมไล่เฉดสีธรรมชาติ จากใช้ครั่งมากๆ เพื่อให้ได้สีแดงแปร๊ด เป็นการประหยัดทรัพยากรด้วย จากที่คนย้อมเคยชินกับการใช้เปลือกนนทรี ถากมาใช้ทั้งต้นจนต้นไม้ยืนต้นตาย ผมก็พยายามให้ชาวบ้านลองใช้แค่ 1 ขีด ก็จะได้สีใหม่ๆ สีโอลด์โรส ใช้กันด้วยนะครับ”
ในการทำงานใดๆ ก็ตาม หลายคนมักมองที่ผลสำเร็จของงาน แต่แท้จริงแล้วทุกงานย่อมมีอุปสรรคมาท้าทายความสามารถอยู่เสมอ การทำวิจัยผ้ากลีบบัวอุบลก็เช่นกัน แม้จะเจอปัญหาอุปสรรคเข้ามามากแค่ไหน สิทธิชัย ย้ำบอกว่าแต่ที่สุดคือการสร้างสรรค์งานให้สำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ผลงานคือความคุ้มค่าให้กำลังใจที่จะทำงานในฐานะนักวิจัยผ้าทออีสาน
สวยหวานนุ่งซิ่นผ้ากลีบบัว
สิทธิชัย บอกเล่าถึงความสำคัญของเครื่องแต่งกายว่า ไม่ว่าชาติใดในโลกล้วนมีความคล้ายคลึงกันวัฒนธรรมการแต่งกายนับแต่โบราณมาเครื่องแต่งกายคือเครื่องบอกฐานะของผู้สวมใส่ อย่างเช่นในวัฒนธรรมสยามมีข้อแตกต่างกันชัดเจน เจ้านาย ขุนนาง คหบดีผู้มีอันจะกิน และชาวบ้านทั่วไป และผ้าไหมถือเป็นที่สุดของผ้าที่นำมาใช้ในการทำเครื่องแต่งกาย
หลังจบปริญญาตรีครุศาสตร์ เอกศิลปะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สิทธิชัยได้ทุนแลกเปลี่ยนการศึกษาด้านวัฒนธรรม ICCR Scholarship รัฐบาลอินเดียศึกษาระดับปริญญาโทและเอกที่ Visva Bharati University ได้ไปศึกษาถึงแหล่งผลิตผ้าไหมที่มีนวัตกรรมสะสมเป็นความลับมายาวนานนับพันปี ยกตัวอย่างเช่น การย้อมสีจุ่ม ไทยเราก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่ก็ได้รู้เทคนิคการย้อมให้ติดทนทาน หรือเทคนิคการปักก็ไม่มีที่ใดในโลกล้ำเท่าอินเดีย พันธุ์ไหมก็มีครบ 5 สายพันธุ์ เส้นทางบนผืนผ้าจึงเปรียบเป็นตำราเล่มใหญ่
“ผมเป็นคนโคราช ได้มาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีมากว่าสิบปีแล้วครับ ก็เริ่มศึกษาผ้าทอโบราณอีสานมาโดยตลอด เมื่อมาอยู่ที่อุบลฯ ก็ศึกษาค้นคว้า ทำวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวเมืองที่นี่ ซึ่งต้องมองลึกไปถึงผ้านำมาใช้ตัดเย็บเครื่องนุ่งห่มไปด้วย เพราะมีความตั้งใจที่จะรวบรวมเกี่ยวกับลายผ้าทอของอุบล
เมื่อก่อนงานวิจัย นักวิจัยก็จะทำอยู่คนเดียว แล้วเอาไปบอกต่อ ซึ่งถามว่าผู้รับจะรับได้ทั้งหมด ได้ประโยชน์จริงๆ หรือไม่ เราอาจพูดได้ว่าไม่ แต่ปัจจุบันนักวิจัยออกไปทำงานร่วมกับชุมชน หรือผู้ที่ต้องการองค์ความรู้ที่แท้จริง คือให้เขาได้มีส่วนคิดปัญหา ช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหา
อย่างเช่นที่ผมลงไปทำกับชุมชนทอผ้าจริงๆ องค์ความรู้ก็ตกอยู่กับชุมชน ทำให้เขาสามารถแก้ปัญหา พัฒนางานได้ด้วยตัวเองในอนาคต และเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้เขาเป็นนักวิจัยพัฒนาได้เช่นกัน อันนี้เป็นประเด็นที่นักวิจัยควรลดบทบาทของตัวเองที่จะทำงานวิจัยแบบรู้อยู่คนเดียว โดยที่ไม่สนใจว่าผลที่ออกมาใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากงานวิจัยนั้น
ผมคิดว่าตรงนี้ตอบโจทย์ของรัฐบาลด้วย ที่ต้องการให้นักวิจัยทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน ไม่เพียงแต่เขาจะมีรายได้จากการทอผ้า แต่ชุมชนยังมีทางเลือกมากขึ้น สามารถต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อีกด้วย”
ภายหลังประสบความสำเร็จในการศึกษาวิจัยพัฒนาการทอผ้ากลีบบัวแล้ว สิทธิชัย บอกว่า สามารถดึงความสนใจให้ชาวบ้านที่เคยทิ้งการทอผ้ากาบบัวหันกลับมาสนใจทอผ้ากลีบบัวแบบใหม่นี้มากขึ้น ปัจจุบันผ้ากลีบบัวแบบใหม่นี้สามารถทอจำหน่ายได้ราคาดี และกลุ่มผู้บริโภคก็ชื่นชอบ ราคาจำหน่ายผ้ากาบบัวที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีทำร่วมกับชุมชนนี้ ผ้ากาบบัว 1 ชิ้น ยาว 2 เมตร จำหน่ายได้ในราคาประมาณ 8,000 บาท
ในขณะนี้นักวิจัยผ้า สิทธิชัย และมือทอผ้าชาวอุบลฯ มีโปรเจกต์ใหญ่ ที่ฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มอบหมายคือการทอผ้ากลีบบัวอุบลสีชมพูอมม่วง เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงการรวบรวมข้อมูลนำเสนอกระทรวงวัฒนธรรมในการขอขึ้นทะเบียนผ้าทอเมืองอุบลฯ ขึ้นเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกอีกด้วย
ไปร่วมชื่นชมผลงานผ้ากลีบบัวอุบลและงานวิจัยที่มีประโยชน์อีกมากมาย ครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคง การเกษตร อุตสาหกรรม สังคม เศรษฐกิจ สังคม การแพทย์และสาธารณสุข พลังงาน และทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ในงาน “Thailand Research Week : มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 ย้ำอีกทีงานเริ่ม 23-27 ส.ค.นี้ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์


