หลวงปู่ใหญ่ เทพโลกอุดร ในนิมิต
นักปฏิบัติธรรมหลายคนชอบไปเล่นกับนิมิต เล่นไปเล่นมาก็พาเอาเชื่อถือ เป็นตุเป็นตะ จากเรื่องสมมติ กลายเป็นเรื่องจริง
โดย...ราช รามัญ
นักปฏิบัติธรรมหลายคนชอบไปเล่นกับนิมิต เล่นไปเล่นมาก็พาเอาเชื่อถือ เป็นตุเป็นตะ จากเรื่องสมมติ กลายเป็นเรื่องจริง ทำให้จริตผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็หลายคน เพราะแท้ที่จริงนิมิตที่ว่านี้ก็คือ ความคิดของตัวเองล้วนๆ ที่ประกอบกับภาวะของจิตใต้สำนึกที่บันทึกเอาไว้ ความก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรมจึงไม่มีอีกต่อไปถ้าใจไปยึดอยู่ที่ตรงคำว่านิมิต “สิ่งที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นมันไม่จริง” ยังเป็นคำสอนอันอมตะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ศิษย์ในสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แห่งอีสาน ที่ตอบปัญหาธรรมแก่นักปฏิบัติเมื่อเจอนิมิต หลวงปู่ได้สอนชัดเจนและถูกต้องมาก
นักปฏิบัติกลุ่มหนึ่งมาถามผมเรื่อง หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ว่าตกลงอย่างไรกันแน่ ที่เขาพบว่าบางครั้งมาปรากฏอยู่ในร่างของมนุษย์พระรูปนั้นรูปนี้ บางทีมาในนิมิต บางทีมาปรากฏเป็นเงาๆ มากกว่านั้นบางทีไปสอนกรรมฐานถึงบ้านแบบเดลิเวอรี่เลยก็มี จึงได้เล่าเรื่องพบนักเขียนด้วยตนเอง ให้ฟังว่า
นักเขียนคนหนึ่งใช้นามปากกว่า “สิทธา เชตวัน” หรือ พี่เพชร เขียนวรรณกรรมดังมากมาย เคยนำเอามาเป็นละครช่อง 7 อยู่เรื่องหนึ่ง คือภูตแม่น้ำโขง คนติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง เป็นนักเขียนมือทอง เมื่อ 30 ปีก่อนเคยมาแล้วสนทนาธรรม คุยกันสารพัดเรื่องตั้งแต่ที่สิทธา เชตวัน ยังเขียนให้งาน คุณคะนอง โลกทิพย์ สมัยทำนิตยสารโลกทิพย์ โลกลี้ลับ และยังเคยเขียนอยู่ที่นิตยสารศักดิ์สิทธิ์ด้วย
เรื่องราวของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ถูกเริ่มต้นกลั่นกรองออกมาจากสมองของสิทธา เขียนร่วมกับพี่ปถัมภ์ ในนิตยสารคนพ้นโลก เมื่อ 40 ปีก่อน จากนั้นสิทธาก็หยิบเอามาเขียนเรื่อยๆ ทุกบรรทัดของการเขียนนั้นออกมาจากห้วงคำนึงแห่งจินตนาการทั้งสิ้น โดยมีพื้นฐานที่เล่ากันมาเพียงนิดหน่อยจากพระสงฆ์ที่ไม่ได้เรียนหนังสือไม่ได้รู้ว่าธรรมะคืออะไร แต่ก็บวชแล้วปฏิบัติเป็นพระไปวันๆ
เนื้อหาเรื่องราวที่เหลือก็เขียนไปตามความคำนึงแห่งจินตนาการทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่สิทธาเขียนนี้เป็นการเขียนในเชิงของวรรณกรรม ไม่ใช่ในเชิงอัตถประวัติของครูบาอาจารย์จากการสัมภาษณ์แต่ประการใด จากวรรณกรรมในหน้ากระดาษแล้วกระโดดออกจากกระดาษไปมีลมหายใจได้นี่คือ สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
สิทธา เชตวัน ถึงกับบวชเป็นพระภิกษุจนสิ้นลมในผ้าเหลืองเพื่อสร้างกุศลให้ตนและเป็นพระปฏิบัติดีปฏฺิบัติชอบด้วย คล้ายๆ สำนึกรู้อะไรบางอย่างได้ว่า กรรมนั้นเป็นอย่างไร ชัดเจนขึ้น
สถานที่ต่างๆ ในวรรณกรรมเรื่องหลวงปู่ใหญ่นั้นมีอยู่จริงหมด เพราะเอามาจากสถานที่จริงเพื่ออ้างและทุกสถานที่ สิทธา เชตวัน ผู้เขียนล้วนเคยไปมาแล้วเพื่อไปดูบรรยากาศและบริบทให้สมจริงเวลานำมาเขียน
คนไทยมีความศรัทธามากในพระพุทธศาสนา แม้บางครั้งอ่านเรื่องราวจากวรรณกรรมแล้วก็เอาไปเชื่อมโยงต่อจนคล้ายกับเป็นเรื่องจริงก็มี
เมื่อผมเล่าให้กลุ่มนักปฏิบัตินั้นฟัง ทุกคนถึงบางอ้อ เข้าใจทันทีว่าแท้ที่จริงเรื่องราวหลวงปู่ใหญ่มีความเป็นมาอย่างไร มาจากไหน
ณ ที่นี้ จึงอยากจะบอกเพิ่มเติมว่าศรัทธานั้น ควรมีปัญญากำกับ มิเช่นนั้นจากเรื่องสมมติในวรรณกรรม ก็จะกลายเป็นเรื่องจริงไปเสียทั้งหมด
การปฏิบัติธรรมนั้น ผมพยายามเน้นย้ำเสมอว่า ควรหาตรงกลางของตัวเองให้พบว่าอะไรที่เหมาะสมกับภาวะของตัวเรา เช่น เรื่องพระป่าที่เขาอยู่ป่าได้เพราะว่าชีวิตเขาเกิดจากชนบท เขามีความคุ้นเคยกับเรื่องต้นไม้ลำธารอยู่แล้ว หรืออยู่กับสิ่งนั้นมานานๆ ก็สามารถปรับตัวและเรียนรู้ได้ในสิ่งนั้น แต่เราเป็นมนุษย์ที่ยังทำงาน มีครอบครัว จะมุ่งเข้าป่าเลย เข้าไปไม่ถึง 3 วัน ร้องกลับแน่นอน เพราะมันไม่เหมือนเมือง มันมีแต่ความวังเวง มีแต่ความเงียบจากเสียงวัตถุและเสียงมนุษย์ เว้นแต่ผู้ที่มุ่งปฏิบัติเลย ไม่ถอยกลับมาสู่โลกอีก อย่างนั้นอาจจะอยู่ๆ ได้เพราะค่อยๆ ปรับตัวไป
แต่จะว่าไปแล้ว การปฏิบัติธรรมไม่ได้ปฏิบัติกันที่สถานที่ แต่ปฏิบัติกันที่ใจ เมื่อสมาธิที่เป็นกำลังมีกำลังมากพอในการพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ป่าเขาอะไรเลย อยู่ในคอนโดก็พิจารณาธรรม ยิ่งอยู่ในสังคมเมืองยิ่งสอบอารมณ์ตัวเองว่านิ่งสงบจริงแล้วหรือไม่ได้อย่างดี เพราะจะมีสิ่งเร้าเข้ามากระทบตลอดเวลา ทั้งเรื่องวัตถุ เรื่องของคน เรื่องความเป็นอยู่ ถ้านิ่งได้ถือว่าผ่าน
และหากยิ่งกำลังสมาธิจางคลายหายไปหมดแล้ว เราก็ยังนิ่งได้ ไม่ว่าเรื่องวัตถุ เรื่องคน อันนี้ต้องบอกว่าก้าวข้ามเรื่องของรูปแบบออกมาได้อย่างมั่นใจแล้ว คือ ไม่ต้องทำสมาธิอะไรก็มีปัญญาพอมองเห็นว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำด้วยภาวะจิตแห่งปัจจุบัน
การปฏิบัติเป็นเรื่องดี แต่ต้องปฏิบัติกันด้วยปัญญา ไม่ใช่ไปปฏิบัติกันตามความเชื่อเพื่อให้ได้รับการยอมรับว่ามีฤทธิ์มีเดช มีคุณอันวิเศษแต่ประการใด เพราะธรรมะเป็นการฝึกเพื่อให้ใจของตนลดละในสิ่งที่เป็นส่วนเกินของชีวิต ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อไปเพิ่มอัตตา อย่างที่เข้าใจกัน
ยิ่งยุคนี้พระสงฆ์บางรูปนั่นแหละตัวดีเลย พาญาติโยมหลงมุม หลงคำในการปฏิบัติ เพราะอารมณ์จากสมาธินั้นเมื่อถึงระดับอ่อนโยนควรแก่การงานแล้ว ผู้เป็นครูอาจารย์สอนอะไรก็คล้อยตามได้ง่ายโดยขาดซึ่งปัญญาในการพิจารณา
ใครคิดจะเป็นนักปฏิบัติธรรมนั้น ควรหาสำนักหรือครูอาจารย์ที่เน้นปัญญา เช่น วัดสนามใน สายของหลวงพ่อเทียน ไปเถอะแล้วจะพบกับความจริงที่เรียกว่า ปัญญา ไม่มีเรื่องงมงายใดๆ สักนิดเลยทีเดียว


