จากหลวงพระบางสู่วังเวียง สัมผัสความงามของกุ้ยหลินเมืองลาว
หลังจากสัมผัสความงดงามที่ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ มาบดบังของหลวงพระบาง มรดกโลกของลาวกันอย่างอิ่มเอม
โดย...สืบสิน ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์
หลังจากสัมผัสความงดงามที่ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ มาบดบังของหลวงพระบาง มรดกโลกของลาวกันอย่างอิ่มเอม เราสี่สหายพร้อมสะพายเป้ใบเขื่องใบเดิมเพื่อเดินทางต่อไปยังนครเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว
หนึ่งในแก๊งยังติดอกติดใจกับการเดินทางแบบทุลักทุเล แต่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้สัมผัส เริ่มต้นจากการล่องเรือที่ชาวลาวเรียกว่า เรือช้า ทันทีที่นั่งเรือจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ข้ามเข้าเขตท่าทรายของประเทศลาว ก่อนทำพาสปอร์ตเข้าเมืองเรียบร้อยเราก็ขึ้นเรือโดยสารลำใหญ่ที่ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวลาวใช้เดินทาง กว่าจะถึงหลวงพระบางก็ใช้เวลาไป 2 วันเต็มๆ โดยแวะพักกลางทาง 1 คืน คือที่เมืองปากแบ่งของลาว ก่อนเดินทางต่อในเช้าวันรุ่ง มาถึงหลวงพระบางก็เวลาเย็นย่ำแล้ว
คราวนี้เราเลือกเดินทางด้วยรถโดยสารประจำท้องถิ่นเพื่อไปยังเวียงจันทน์ ที่มองไปทางไหนก็เห็นมีแต่พี่น้องชาวลาว เห็นจะมีเพียงแค่พวกเรา 4 คนเท่านั้นที่เป็นนักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่แปลกหน้าอย่างใดเพราะคนไทย คนลาว หน้าตาก็ละม้ายคล้ายกันว่ามะ แถมพวกเรายังได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้งมะขาม อ้อย และผลไม้นานาชนิดที่พี่น้องชาวลาวแบ่งปันมาให้ ชื่นใจจริงๆ ครับ
งานนี้เพื่อนผมคงจำไปอีกนาน เพราะการเดินทางที่ต้องขึ้นเขาลงเขา ไม่มีไหล่ถนน มองไปทางไหนก็เห็นแต่หุบเหว และป่าเขาอันเขียวขจี โชคดีที่เราเดินทางมากับรถประจำท้องถิ่น เพราะพี่ท่านขับอย่างชำนาญ แม้บางครั้งจะทำเอาพวกเราถึงกับใจหายใจคว่ำ
จำไม่ได้ว่าใช้เวลาอยู่บนเขานานแค่ไหน แต่รู้ว่ามันนานโข มารู้ตัวว่าหลุดพ้นเส้นทางมรณะมาแล้วเมื่อคนขับจอดพักรถและให้ผู้โดยสารลงไปทำธุระ ผู้ชายไปยิงกระต่าย ส่วนสาวๆ ก็ไปเก็บดอกไม้ น่ารักน่าชังเสียจริง จากนั้นก็เดินทางอีกสักพักก็มาถึงวังเวียงเวลาค่ำพอดี นั่นหมายความว่าพวกเราต้องหยุดพักที่นี่ 1 คืน ก่อนเดินทางไปเวียงจันทน์ต่อในวันรุ่ง
ค่ำคืนที่วังเวียงดูคึกคัก ไม่แออัดเหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา แต่มีร้านรวงให้นักท่องเที่ยวได้นั่งสำราญกันแบบไม่น้อยหน้า เท่าที่สังเกตเห็นมีแต่นักท่องเที่ยวที่เป็นฝรั่งมากมาย นั่งดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน เราเองก็ไม่น้อยหน้าหลังจากได้ที่พักจากเจ้าของใจดีที่ยอมให้เราพักห้องเดียวกันได้ทั้ง 4 คน ในราคาไม่ถึงพันบาท เราก็พร้อมออกไปหาของกิน โชคดีที่อาหารลาวก็คล้ายๆ กับอาหารไทย เราเลยกินเสียจนอิ่มแปล้ ก่อนนั่งพูดคุยกันถึงเส้นทางมรณะว่าสุดยอดแค่ไหน และกลับไปนอนพักอย่างเหนื่อยอ่อน
วังเวียงหรือกุ้ยหลินเมืองลาว เมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทิวเขา สายน้ำซองไร่นาแบบขั้นบันได และหมู่บ้านชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ เช่น ลาวสูง ลาวเทิง ลาวม้ง และไทลื้อ ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามวิถีของตน
พร้อมกับชมความยิ่งใหญ่ของขุนเขาที่เต็มไปด้วยป่านานาพันธุ์ที่ขึ้นตามธรรมชาติ ระหว่างทางชมผาตั้ง ซึ่งเป็นภูเขาลูกเดียวที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ด้านหน้าของภูเขามีน้ำซองไหลผ่าน ภูเขารูปร่างแปลกตา สลับซับซ้อนสวยงามมาก นักท่องเที่ยวจึงขนานนามว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว”
จริงๆ แล้วตัวเมืองวังเวียง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซอง ห่างจากเมืองหลวงกรุงเวียงจันทน์ 154 กิโลเมตร และห่างจากเมืองหลวงพระบาง 210 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูงมองเห็นสายน้ำกว้างสลับเนินทราย โดยมีเทือกเขาหินปูนเป็นฉากหลัง ฉากหน้าเป็นทุ่งนาสีเขียวที่มีพี่น้องชาวลาวร่วมกันปลูกและลงมือเกี่ยวเมื่อถึงฤดูกาล นอกจากนี้ยังมีถ้ำให้เที่ยวชมหลายแห่ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงเป็นที่สนใจของบรรดานักแอดเวนเจอร์ที่ชอบการไต่หน้าผาและล่องแพ
ในเขตตัวเมืองมีวัดเก่าอายุราว 400-500 ปีอยู่หลายแห่ง ได้แก่ วัดสีเสียงทอง หรือวัดธาตุ วัดคัง วัดหัวพัน วัดสีสุมาน และวัดพงเพ็ญ แต่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมคือการชมถ้ำ การล่องลำน้ำ และเยือนหมู่บ้านคนท้องถิ่น
ถึงแม้ว่าพวกเราสี่สหายจะใช้เวลาอยู่วังเวียงไม่นานนัก แต่ต่างก็หลงรักและรู้สึกประทับใจกับเมืองอันมีมนต์แห่งนี้ และต่างสัญญากันว่าจะกลับมาพร้อมกับการเดินทางบนเส้นทางใหม่ หนองคาย-เวียงจันทน์-วังเวียงอีกสักครั้งถ้าโอกาสมาถึง


