posttoday

"พอลลีน-พินิจ งามพริ้ง"เปิดใจที่แรกและที่เดียว! ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้มีความสุข

09 กรกฎาคม 2560

คนส่วนใหญ่มักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ในช่วงชีวิตของคนเรานั้นมักจะเจอการเปลี่ยนแปลงกันอยู่เสมอ

โดย...อณุสรา ทองอุไร

คนส่วนใหญ่มักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ในช่วงชีวิตของคนเรานั้นมักจะเจอการเปลี่ยนแปลงกันอยู่เสมอ มากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นต้องยอมรับและอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้อย่างมีความสุข เพราะหลายครั้งที่ชีวิตคนเรานั้นออกแบบไม่ได้ ใจเป็นแบบหนึ่งแต่ร่างกายกลายไปอีกแบบหนึ่ง และเราต้องทนอยู่กับความไม่สอดคล้องไปทิศทางเดียวกันเช่นนั้น หลายคนจึงต้องกล้าที่จะลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ร่างกายกับจิตใจนั้นสอดคล้องไปทางเดียวกัน ปรับตัวและยอมรับมัน!

เช่นเดียวกับเธอคนนี้ ปัจจุบันเธอเป็น พอลลีน งามพริ้ง ได้เกือบ 2 ปีแล้ว หลังจากที่เป็น ป้อ-พินิจ งามพริ้ง มาเกือบ 50 ปี ที่แฟนกีฬาจะรู้จักดีในฐานะประธานชมรมเชียร์ไทยพาวเวอร์ เป็นแกนนำที่มีสโลแกนที่จารไว้ในหัวใจ โลกทั้งใบเชียร์ไทยทีมเดียว สำหรับคนอื่น แมนฯ ยู คือชีวิต อังกฤษคือจิตใจ แต่เธอผู้มีแต่ทีมไทยอยู่ในใจตลอดกาล เธอเคยแสดงเจตนารมณ์ในการลงสมัครชิงเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลไทยแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คนใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ชีวิตใหม่ ฟุตบอลไทย

"พอลลีน-พินิจ งามพริ้ง"เปิดใจที่แรกและที่เดียว! ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้มีความสุข

 

ปัจจุบันเธอเป็นเชฟอาหารไทยอยู่ที่ซานฟรานซิโก สหรัฐอเมริกา ได้เกือบปีแล้ว เพราะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากพินิจ ไปเป็นพอลลีนแบบนี้ อาจจะไม่เหมาะกับสังคมไทย โดยเฉพาะหน้าที่การงานที่เคยทำก็คงทำไม่ได้อีกต่อไป รวมทั้งหลายๆ คนอาจจะยังไม่เปิดใจรับเธอในฐานะพอลลีนมากนัก เธอจึงคิดว่าควรจะย้ายฐานชีวิตมาอยู่ต่างประเทศสักพักหนึ่งก่อนดีกว่า

“คนบางคนเขาก็เสียใจ ที่เห็นภายนอกเราเปลี่ยนไป เราเคยเป็นไอดอลของเขา แต่ใครไม่มาเป็นตัวเราคงไม่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกๆ มันคือความเป็นความตายของชีวิต มันคือชีวิต ชีวิตหนึ่งที่เคยเก็บกดทุกข์ระทม สังคมก็ไม่ได้มาดูดำดูดีอะไรด้วย คนทั่วไปส่วนใหญ่ตัดสินคนแต่ภายนอก โดยที่ไม่มองถึงคุณภาพด้านใน เราก็ยังเป็นคนเดิมที่อยากให้คุณเรียกว่า “ป้อ หรือ พอลลีน” จะเป็นเพศไหน มันก็คือคนเหมือนกัน มีรัก มีหลง มีสุข มีทุกข์ เหมือนๆ กัน อย่าตั้งคำถามกับเรานักเลย เราก็ไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายกับใคร สุขของใครก็ของมัน ขอพื้นที่ของเราบ้าง เราไม่รบกวนหรอก คือถ้าเราไม่บอกเพื่อนว่าตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร แล้วเอาแต่หลบหน้าเขา เราก็เสียเขาไปอยู่ดี แต่ถ้าเรากล้าที่จะบอก เรายังมีโอกาสที่จะมีเขาอยู่ ถ้าเขารับตัวตนของเราไม่ได้ เราก็ต้องยอมปล่อยเขาไป”

พอลลีน กล่าวต่อไปว่า ความคาดหวังของคนอื่น มันก็มีทั้งข้อเสียและข้อดี ข้อเสียก็คือทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง จะทำอะไรก็ต้องแคร์หรือเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะคิดกับเรายังไง บางครั้งจะทำอะไรก็ไม่กล้าทำ มันก็ขีดวงว่าคุณเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำอีกอย่างหนึ่งได้หรือ สรุปแล้วจะทำอะไรก็ต้องถามคนอื่นอยู่เรื่อยไป หรือไม่ก็ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่คนในแวดวงตัวเองเขาคิดว่าเหมาะสม

"พอลลีน-พินิจ งามพริ้ง"เปิดใจที่แรกและที่เดียว! ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้มีความสุข

 

“ข้อดีของการทำตามความคาดหวังของคนอื่น ก็คือ มันเป็นที่ดึงเราไว้ไม่ให้หลุดโลก ไม่เลวหรือเหลวไหลจนสุดขั้ว เพราะยังไงก็ต้องกลัวคำพิพากษาของสังคมเป็นผู้ตัดสิน หลายครั้งคนมักจะพูดว่าเอาที่สบายใจเถอะ อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีความหมายตรงตัวซะทั้งหมด บางทีมันก็เป็นไปในเชิงประชดประชันแบบไม่เห็นด้วย ออกแนวว่าผู้พูดเกิดความรำคาญด้วยซ้ำไป คำว่าเอาที่สบายใจ ในบางครั้งเป็นคำด่าเตือนสติให้เราได้สำรวจความคาดหวังของคนอื่นด้วยเหมือนกัน  ดังนั้นเมื่อเราได้ทำอะไรที่สบายใจแล้ว เราก็ยังควรคิดถึงความคาดหวังของคนอื่นด้วย ไม่ใช่จะเอาแต่ความสบายใจของตัวเองเพียงอย่างเดียว ก็พยายามหาจุดตรงกลางที่เหมาะสมให้มากที่สุด”

เขาเล่าย้อนให้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ในชีวิต เอาตอนอายุเลยค่อนคนมาแล้วว่า ที่จริงแล้วความอ่อนโยนและอ่อนหวานแบบผู้หญิงนั้น มันอยู่ในใจเขาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แต่ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโต มีน้องชายอีก 2 คน คุณพ่อเป็นตำรวจแล้วก็เป็นนักมวยด้วย ทำให้คิดว่าเป็นเรื่องยากที่ครอบครัวจะรับได้ เขาจึงต้องกด ต้องข่มอารมณ์อ่อนหวานในตัวไว้ให้ลึกสุดใจ

“จำได้ว่าเด็กๆ เราก็ชอบเล่นกับเพื่อนผู้หญิงเล่นหมากเก็บ แต่เวลาใครมาแกล้งเพื่อนผู้หญิง เราก็จะปกป้องช่วยเหลือ ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิงมากกว่า แต่เวลาที่อยู่กับคุณพ่อกิจกรรมที่เราไปกันคือไปวิ่งออกกำลังกาย ไปต่อยมวย พอเป็นวัยรุ่นก็เป็นนักฟุตบอลติดทีมเยาวชนถ้วย ก. ข. อะไรแบบนั้นเลย คือ เล่นกีฬาก็ประสบความสำเร็จดี จนเข้ามหาวิทยาลัย ไปมีกิจกรรมอื่นๆ ก็เลยห่างๆ เรื่องกีฬาไป ความสาวในตัวก็ต้องเหยียบให้มิด เก็บไว้ในใจให้ใครรู้ไม่ได้ ทั้งครอบครัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทก็ตาม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

"พอลลีน-พินิจ งามพริ้ง"เปิดใจที่แรกและที่เดียว! ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้มีความสุข

 

แน่นอน เธอต้องใช้ชีวิตต่อไปเฉกเช่นผู้ชายทั่วไป เรียนจบทำงาน เมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็แต่งงานมีครอบครัวและมีลูกชายหนึ่งคน แม้บางครั้งความต้องการส่วนลึกในใจจะแอบผุดโผล่ขึ้นมาบ้าง ก็ได้แต่กดมันไว้แล้วอธิษฐานในใจว่าชาติหน้าขอให้ได้เกิดเป็นผู้หญิงทีเถิด เวลาเดินผ่านเคาน์เตอร์เครื่องสำอางก็จะอยากได้อยากซื้อมาแต่งเอง และก็ซื้อมันโดยอ้างว่าก็ซื้อให้ภรรยาไงล่ะ ป้อจึงเป็นสามีประเภทที่ซื้อเครื่องสำอาง ซื้อเสื้อผ้า ให้กับภรรยาตลอดเวลา คอยบอกภรรยาว่าควรจะแต่งหน้าแบบนี้ แต่งตัวโทนนี้สิถึงจะสวย เพื่อชดเชยความต้องการส่วนลึกในใจตัวเอง

เวลาที่เก็บกดมากๆ จนแทบทนไม่ได้และกลัวมันจะระเบิดออกมาก จึงต้องลดดีกรีมันลงด้วยการไปเปิดโรงแรมแล้วก็แอบแต่งหญิง แต่งหน้าทำผม แล้วก็ยืนมองตัวเองในกระจก แบบว่าให้พอระบายความต้องการออกมาได้บ้าง ซึ่งพอมองกระจกแล้วก็ไม่พอใจกับภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่งเสร็จก็ทิ้งเสื้อผ้าไปทันที เพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นเสื้อผ้าที่ซุกซ่อนอยู่ บางครั้งก็ลองแอบแต่งสาวแล้วเดินเข้าเซเว่นข้างๆ โรงแรม เพื่อความสะใจที่ได้ปลดปล่อยตัวเอง โชคดีที่ไม่มีใครจำได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดตามไปด้วย คือ กล้าๆ กลัวๆ จะยอมรับก็ไม่กล้า จะปฏิเสธก็ไม่เชิง ซึ่งทำอย่างนั้นอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งชีวิตคู่เกือบ 20 ปีของเธอก็สิ้นสุดลง

ป้อต้องอ้างกับภรรยาคนแรกว่ามีคนอื่น และขอเลิกกับเธอ แต่ความจริงแล้วป้อไม่มีใครเลย เพียงแต่อยากอยู่คนเดียว ซึ่งหย่าแล้วก็โสดอยู่พักใหญ่ ความรู้สึกก็สับสนว่าตัวเองเป็นเกย์จริงๆ หรือเป็นกะเทยกันแน่ แต่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางเปิดเผยมันออกมาได้ ไม่มีทางที่คนในครอบครัวจะรับได้อย่างแน่นอน ก็บอกกับตัวเองว่าต้องอยู่กับมันให้ได้ ต้องควบคุมมันให้ได้ แม้อยากให้ระเบิดในใจเธอหายไป อยากหายอยากมีชีวิตปกติแบบผู้ชายทั่วไป

 

"พอลลีน-พินิจ งามพริ้ง"เปิดใจที่แรกและที่เดียว! ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้มีความสุข

 

ในที่สุด ป้อก็แต่งงานอีกครั้งและมีลูกอีกคน และเป็นหัวหน้าครอบครัวคนเดียวดูแลทุกอย่าง ความเป็นผู้หญิงในตัวสงบไปได้พักใหญ่ มันหายไปนานมากจนป้อชะล่าใจ เธอปรับตัวใหม่ ไม่เดินเฉียดเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ไม่ซื้อเสื้อผ้าให้ภรรยาเลย เพราะกลัวว่าหากเฉียดใกล้เคาน์เตอร์พวกนี้ แล้วมันจะไปกระตุ้นอารมณ์ส่วนลึกดึงความเป็นเธอออกมา ป้อเก็บงำมันมาได้ 5-6 ปี ที่มันไม่ปะทุออกมาอีกเลย

แต่แล้วมันก็กลับมาปะทุอีกครั้งตอนอายุ 40 กว่าๆ คราวนี้หนักหน่วงรุนแรงขึ้น มันร้อนรุ่ม อึดอัด เหมือนระเบิดที่รอคอยเวลา ครั้งนี้ป้อเครียดมาก กลัวๆ กล้าๆ ใจหนึ่งก็ยอมรับ อีกใจก็ปฏิเสธ จนต้องไปหาจิตแพทย์ หลังจากพูดคุยกันได้ 2 ครั้ง จิตแพทย์ชี้ว่า ถ้ายังเก็บกดไว้อย่างนี้อาจจะอันตราย เพราะจิตใจส่วนลึกกับอีโก้ในตัวเองกำลังต่อสู้กัน เพราะป้อแสดงออกไปในทางเก่งกล้า ทำงานให้เก่งให้เป็นที่ยอมรับดูแมนๆ โชว์พาว (เวอร์) เพื่อกลบความเป็นผู้หญิงในตัวให้ดับดิ้นไป

“ที่ผ่านมา เราไม่เคยมีเพื่อนเป็นเกย์หรือกะเทย เราจะไม่ชอบกะเทย เพราะกลบเกลื่อนความรู้สึกตรงนั้น กลัวจะแสดงออกมา กลัวผีจะเห็นผี กลัวใครจะมาล้วงลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจที่เก็บซ่อนไว้ หมอบอก ถ้าไม่รักษามันจะยากขึ้นไปทุกที และจะแสดงออกในเชิงก้าวร้าว เมื่อกลบเกลื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ดีกับตัวเองหรือคนรอบข้าง หมอแนะนำให้พยายามปรับและยอมรับอย่าปฏิเสธตัวเอง”

 

"พอลลีน-พินิจ งามพริ้ง"เปิดใจที่แรกและที่เดียว! ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้มีความสุข

 

ป้อยังไม่เชื่อในตัวจิตแพทย์คนแรก จึงไปพบจิตแพทย์คนที่ 2 คราวนี้ป้อแต่งหญิงไปเลย เหมือนจะไปหาความเห็นที่ 2 จากจิตแพทย์ เพราะป้อพยายามจะรักษามันให้ได้ แถมยังย้อนถามจิตแพทย์ด้วยว่า เพราะเธอแต่งหญิงมาน่ะสิถึงได้วิเคราะห์แบบนี้ หมอตอบว่าไม่ว่าคุณจะแต่งตัวอย่างไร จิตใจคุณก็มีความเป็นผู้หญิงอยู่สูงมาก และป้อก็ยังไปหาจิตแพทย์คนที่ 3 ซึ่งผลการรักษาประเมินออกมาแบบเดียวกับหมอ 2 คนแรก

ในที่สุด ป้อก็ไปสารภาพกับคุณแม่ตัวเอง ในตอนแรกท่านก็ยอมรับไม่ได้เลย ต่างคนต่างร้องไห้ เมื่อเห็นน้ำตาคุณแม่ ป้อก็พยายามที่จะเป็นแบบที่ท่านต้องการต่อไป ทั้งที่ทุกข์ใจและฝืนความรู้สึกของตัวเองมากจนอยากจะทำร้ายตัวเอง หรือไปบวชตลอดชีวิต ตอนนั้นป้อดูซังกะตาย เหมือนอยู่ไปวันๆ เก็บตัวจนในที่สุด คุณแม่เห็นสภาพเธอแล้วก็บอกว่า เอาเถอะลูก ทำเพื่อคนอื่นมานานแล้ว เป็นแบบที่ลูกอยากเป็นเถอะ ชีวิตที่เหลือเป็นของลูก

เมื่อคุณแม่ไฟเขียว ป้อก็พยายามจะบอกกับภรรยาเป็นคนต่อไป แต่ความแตกซะก่อนเพราะไปพบเส้นผมจากวิกที่ป้อแต่งสาว โดยภรรยาเข้าใจว่าเป็นผมของผู้หญิงอื่นเพราะแอบนอกใจเธอ ป้อก็เลยสารภาพว่าไปพบจิตแพทย์มา แต่ภรรยาไม่เชื่อคิดว่าโกหกปิดบังความผิด ป้อจึงบอกความจริงทั้งหมด และเธอก็ร้องไห้ฟูมฟายเพราะยอมรับความจริงไม่ได้ และโกรธมาก

 

"พอลลีน-พินิจ งามพริ้ง"เปิดใจที่แรกและที่เดียว! ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้มีความสุข

 

“เรายังรักภรรยาเหมือนเดิม เราไม่ได้มีใครทั้งนั้น เพียงแต่ความรู้สึกบางอย่างในตัวเปลี่ยนไป เธอไม่ยอมรับและทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม หมางเมินเย็นชา ต่างคนต่างอยู่” ป้อ เล่าด้วยความลำบากใจ

ในที่สุด ป้อก็หนีไปอยู่ภูเก็ต 4-5 วัน แต่งตัวเป็นผู้หญิงเต็มขั้น ไปลองใช้ชีวิตแบบผู้หญิง ฝรั่งเห็นก็นึกว่าเป็นสาวรัสเซียเพราะรูปร่างสูงใหญ่ พอกลับมาอะไรก็ไม่ดีขึ้น ป้อก็ไปพัทยาอีกครั้ง เพื่อหาช่องทางการทำธุรกิจ และก็แต่งผู้หญิงเต็มตัว ทำงานทางอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก

เมื่อไม่มีที่ยืนที่นี่ ป้อจึงตัดสินใจไปเป็นเชฟอาหารไทยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และใช้ชีวิตแบบผู้หญิง เริ่มกินฮอร์โมนมาได้ระยะหนึ่ง แล้วก็เริ่มฉีดฮอร์โมน แต่ไม่ได้ทำการผ่าอะไรในร่างกาย ซึ่งคิดว่าการได้แต่งสาวก็เพียงพอแล้ว

ขณะนี้ยังไม่จะเฉาะหรือผ่า หรือจะทำอะไรมากไปกว่านี้ จะอยู่ที่สหรัฐสักพักเพื่อเก็บเงิน ในอนาคตอาจจะกลับมาเปิดร้านอาหารที่ประเทศไทย และทำงานจิตอาสาให้คำแนะนำกับสาวข้ามเพศที่ยังไม่กล้ายอมรับตัวเองที่เก็บกดระทมทุข์ ไม่รู้จะทำอย่างไร หรือเมื่อมาแต่งสาวแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อ เป็นผู้หญิงแล้วต้องเซ็กซี่อย่างเดียว แต่งโป๊อย่างเดียว หรือตลกเข้าว่า ซึ่งเป็นสาวข้ามเพศให้ดูดีมีสาระ ไม่ต้องอวดเนื้อตัว ไม่ต้องตลกก็ได้ มีอะไรให้เป็นอีกมากมาย

ข่าวล่าสุด

‘ม.สงขลาฯ’ ร่วมกรมการแพทย์ รับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษาด้วย CAR-T Cell