ธเนศ จิระเสวกดิลก สังคมที่ดีควรมีการแบ่งปัน
ตรง-ธเนศ จิระเสวกดิลก กรรมการผู้จัดการและหุ้นส่วนใหญ่เครื่องสำอาง DII และเจ้าของสปาดิวาน่าที่มีอยู่ถึง 5 สาขา
โดย...อณุสรา ทองอุไร
ตรง-ธเนศ จิระเสวกดิลก กรรมการผู้จัดการและหุ้นส่วนใหญ่เครื่องสำอาง DII และเจ้าของสปาดิวาน่าที่มีอยู่ถึง 5 สาขา เขาเล่าว่าเดิมก่อนหน้านี้ตอนเรียนจบใหม่ๆ เป็นพนักงานต้อนรับอยู่ที่สายการบินแห่งหนึ่งนานกว่า 10 ปี
หลังจากนั้นเขาก็มาร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดสปาอยู่ 3-4 ปี จึงออกจากสายการบินมาทำธุรกิจสปาเต็มตัว และตั้งใจไว้แต่แรกในการทำธุรกิจว่าหากธุรกิจแข็งแรงอยู่ตัว เขาจะทำจิตอาสาอย่างจริงจังเพื่อเป็นการแบ่งปัน
“ตอนเราเป็นพนักงานเป็นลูกจ้างเขา เงินเดือนก็ยังไม่เหลือมาก จะทำบุญแบ่งปันก็ได้เล็กน้อยไม่มากนัก แต่พอมาเปิดบริษัทของตัวเองก็มีกำลังมากขึ้น มีคนมาช่วยสมทบมากขึ้น การจะไปบริจาคหรือให้ทุนอะไรกับเด็กๆ และมูลนิธิก็เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น และถือเป็นนโยบายตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ว่าเราจะทำจิตอาสาอย่างต่อเนื่องตลอดไปทุกปี ในรูปแบบต่างๆ กันออกไป” ธเนศ กล่าวอย่างตั้งใจ
โดยตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ธเนศ บอกว่าก็มีการทำบุญบริจาคในรูปแบบต่างๆ ทุกปี ปีที่แล้วเขาให้ทุนการศึกษากับเด็กๆ ที่มูลนิธิพระดาบส ทุนละเกือบ 3 หมื่นบาท 2-3 ทุน และจะให้ต่อเนื่องไปจนกว่าเด็กคนนั้นๆ จะจบการศึกษา
"สำหรับในปีนี้ เป็นปีที่ดิวาน่าครบรอบ 15 ปี เราก็เลยจัดใหญ่กว่าทุกปี ชวนพนักงานไปทำบุญร่วมกัน ใช้ชื่อ 'ดิวาน่า แคร์ แอนด์ แชร์' โดยปีนี้ไปบริจาคให้กับบ้านเด็กชายทุ่งมหาเมฆ ด้วยการให้ทุนการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงปริญญาตรี และนำอาหารไปเลี้ยงโต๊ะจีนให้กับเด็กๆ โดยจะให้ต่อเนื่องไปต่อจากนี้ด้วย โดยทุกปีไม่ว่าจะไปทำบุญเลี้ยงอาหาร บริจาคสิ่งของใดๆ ให้กับหน่วยงานใดก็ตาม แต่เราจะมีให้ทุนการศึกษาปีละ 4-5 ทุนเสมอ และเป็นการให้ทุนจนกว่าเด็กที่ได้ทุนจะจบการศึกษา"
ธเนศ บอกว่า เขายึดเป็นความตั้งใจเลยว่า ได้แล้วต้องให้ รับแล้วต้องแบ่งปัน ถือเป็นวัฒนธรรมขององค์กรของเขาเลยว่าแต่ละปีเรามีเรื่องต้องไปทำบุญกัน ถือเป็นนโยบายอย่างหนึ่งที่ต้องทำ
“เราจะเน้นให้ในเรื่องของการศึกษาเป็นหลัก เพราะคิดว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เป็นประตูเปิดโอกาสไปสู่หลายสิ่งอย่างได้ การแก้ปัญหาเรื่องความจนไม่ได้ให้แค่เงิน แต่คือการให้การศึกษา ความจนไม่ใช่อุปสรรคเท่ากับการที่เด็กไม่ได้รับการศึกษา และการบริจาคเงินเพื่อซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
สังคมที่น่าอยู่ ธเนศ เชื่อมั่นว่าคือสังคมที่มีการแบ่งปัน ไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ก็ตาม ซึ่งไม่ได้มีกฎข้อบังคับตายตัวว่าต้องให้ในรูปแบบใด อยู่ที่ความถนัดของแต่ละคน
"มีแรงลงแรง มีเงินลงเงิน มีวิชาความรู้ก็ไปช่วยสอน ใครจะทำอะไรก็ได้ตามแนวทางที่แต่ละคนถนัด เป็นเชฟก็ไปช่วยทำอาหาร เป็นครูก็ไปช่วยสอน เป็นช่างตัดผมก็ไปตัดผมฟรี โดยทำให้กับมูลนิธิหรือบริจาคเป็นสิ่งของใดๆ ก็ได้ ขอเพียงให้นึกถึงการทำจิตอาสาว่าเป็นเรื่องที่เราต้องทำในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย ยิ่งรวยยิ่งต้องให้ ยิ่งให้เราก็จะยิ่งได้ ผู้ให้ย่อมมีความสุขพอๆ กับผู้รับเสมอ
“ไม่ต้องรอให้เหลือเยอะ ไม่ต้องรอให้รวยมาก ถ้าให้ตอนที่เราพอมี เขาเรียกว่าแบ่งกันหรือแบ่งปัน แต่ถ้ารอให้ตอนที่ต้องรวยมากๆ เขาเรียกว่าเหลือ ไม่ต้องรอให้เหลือ ให้ไปตามกำลังเหมาะสม สิ่งที่ได้ก็คือความสุขอิ่มเอมใจ ขณะที่ผู้รับก็ชื่นใจ เพราะฉะนั้นเราควรจะเป็นฝ่ายให้มากขึ้นเมื่อมีโอกาส คุณจะรับรู้ถึงความสุขแห่งการให้ได้ทุกครั้งว่าช่วยเติมเต็มและตัดกิเลสและความโลภในจิตใจเราออกไปได้ด้วย” ธเนศ กล่าวอย่างมีความสุข


