posttoday

กรุงเทพฯ 235 ปี มองลอดกรอบประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม

02 พฤษภาคม 2560

งานมหกรรมวัฒนธรรม “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โดย...พริบพันดาว

งานมหกรรมวัฒนธรรม “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี ที่ได้ทรงนำพาประเทศชาติเป็นปึกแผ่น รวมทั้งเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ร่วมรำลึก เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์

แม้การร่วม “น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์” ตลอดเดือน เม.ย. 2560 รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว

กรุงรัตนโกสินทร์ หรือกรุงเทพมหานคร หรือกรุงเทพฯ หรือแบงคอก หรือบางกอก ก็ยังมีชีวิตชีวาในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมสมัยในปัจจุบัน และเดินหน้าไปสู่อนาคต

กรุงเทพมหานครเป็นหัวใจของการทำให้ประเทศสยามหรือประเทศไทยให้ทันสมัย ตลอดศตวรรษที่ 20 และกลายเป็นมหานครที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ท้าทายศตวรรษที่ 21 อย่างสง่าผ่าเผย

ศิลปะของกรุงรัตนโกสินทร์ ร่วมสมัยอยู่เสมอ

ในสมัยอาณาจักรอยุธยา กรุงเทพมหานครยังเป็นเพียงสถานีการค้าขนาดเล็กอยู่ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมามีขนาดเพิ่มขึ้นและเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง 2 แห่ง คือ กรุงธนบุรี ในปี 2311 และกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี 2325

พื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร ชาวต่างชาติเรียกกันว่า “บางกอก” มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามีความสำคัญเนื่องจากเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรต่างๆ เป็นเมืองหน้าด่านขนอน คอยดูแลเก็บภาษีกับเรือสินค้าทุกลำที่ผ่านเข้าออก

กรุงเทพฯ 235 ปี มองลอดกรอบประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม

 ที่มาของคำว่า “บางกอก” นั้น มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากการที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า “บางเกาะ” หรือ “บางโคก” หรือไม่ก็เป็นเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า “บางมะกอก” โดยคำว่า “บางมะกอก” มาจากวัดอรุณ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของวัดดังกล่าว และต่อมากร่อนคำลงจึงเหลือแต่คำว่าบางกอก

จากการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 หลังการกอบกู้อิสรภาพจากพม่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ในปี 2313 ครั้นสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในวันที่ 6 เม.ย. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชดำริว่าฟากตะวันออกของกรุงธนบุรีมีชัยภูมิดีกว่าตะวันตก เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างตะวันตก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา

 ดิษพงศ์ เนตรล้อมวงศ์ ภัณฑารักษ์กลุ่มวิจัย สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้เปิดมุมมองด้านประวัติศาสตร์ศิลป์มองกรุงรัตนโกสินทร์ 235 ปี ว่า ศิลปะคือสิ่งที่สะท้อนสังคม ดังนั้นหากเรามองกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีอายุ 235 ปีที่ผ่านมา ในมุมมองของประวัติศาสตร์ศิลป์ ก็จะเห็นภาพซ้อนของสังคมและบ้านเมืองใน 235 ปี ที่ผ่านมาด้วย

“ในยุคแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ งานศิลปกรรมจะมีแนวทางการสร้างสรรค์ที่ยึดแบบ หรือขนบธรรมเนียมเดิมตั้งแต่ครั้งอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นงานสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม แม้แต่งานประเภทนาฏศิลป์ ดนตรี และการแต่งกาย แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างใหม่ให้เหมือนของเก่าที่เคยมี การเชิดชูสิ่งที่มีมาก่อนในสมัยอยุธยา ว่าเป็นสิ่งที่ควรนำมาเป็นแนวทางในการสร้างงานศิลปะ”

กรุงเทพฯ 235 ปี มองลอดกรอบประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระบรมราชโองการให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครใหม่ในวันที่ 8 เม.ย. 2325 ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 9 บาท (54 นาที) ปีขาล จ.ศ. 1144 จัตวาศก ตรงกับวันที่ 21 เม.ย. 2325 เวลา 06.54 น. และทรงประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกในวันที่ 13 มิ.ย. 2325

ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนชื่อพระนครจากบวรรัตนโกสินทร์ เป็นอมรรัตนโกสินทร์ และมีฐานะในการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นจังหวัดพระนคร ดิษพงศ์ ขยายความถึงศิลปกรรมและวัฒนธรรมว่า

“ยุคต่อมาคือยุคของการผสมผสาน มีแรงบันดาลใจใหม่ๆ ทั้งจากจีน จากตะวันตกเข้ามา อาจเพราะการคมนาคมที่สะดวกมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้รับรู้ข่าวสารจากทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้คนจากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามา ทั้งที่มาตั้งรกรากถิ่นฐานและมาติดต่อค้าขาย ทำให้เกิดรูปแบบศิลปะที่ออกห่างจากความเป็นอยุธยา และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นศิลปกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ที่มีแรงบันดาลใจจากศิลปะจีน รวมถึงงานศิลปะในช่วงรัชกาลที่ 4-5 ที่มีแรงบันดาลใจจากศิลปะตะวันตกอย่างเด่นชัด

“เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในปี 2475 ศิลปะก็ถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองทางการเมือง ในการสร้างความมั่นคง สร้างชาติ งานศิลปกรรมในช่วงนั้น ก็จะแสดงถึงความเข้มแข็ง หนักแน่น มั่นคงไปด้วย ในยุคปัจจุบันศิลปะก้าวข้ามพรมแดน ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีรูปแบบ ไม่จำกัดพื้นที่และเวลา ศิลปะไม่ได้ถูกกำหนดหรือชี้นำให้เป็นที่นิยมได้ง่ายเหมือนในอดีต เนื่องจากสื่อในการสร้างและรับรู้งานศิลปะมีมากขึ้น ทุกคนมีทางเลือกในสิ่งที่ตนชอบ ความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะในปัจจุบันจึงไม่ใช่รูปแบบ แต่เป็นความหลากหลาย”

กรุงเทพฯ 235 ปี มองลอดกรอบประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม

ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ ที่ยังเดินไปข้างหน้า

“กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์”

มีความหมายว่าพระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร อันเป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นนครที่ไม่มีใครสามารถรบชนะ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้ว 9 ประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้

กรุงเทพมหานครได้ชื่อว่าเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลกบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊ก แปลความเป็นภาษาอังกฤษว่า “City of angels, great city of immortals, magnificent city of the nine gems, seat of the king, city of royal palaces, home of gods incarnate, erected by Visvakarman at Indra’s behest”

ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และนักประวัติศาสตร์ชื่อดังของเมืองไทย ได้เปิดเผยมุมมองทางด้านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ว่า เมื่อพูดถึงกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 235 ปี และเดินทางสู่ปีที่ 236 ในปี 2560 นี้ แท้ที่จริงเราได้ลืมอะไรหลายประการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ดังประเด็นต่อไปนี้ 

1.การศึกษาที่ยึดติดกับกรอบความคิดที่ว่า การเกิดขึ้นของยุคสมัยหนึ่งเพราะการสิ้นสุดยุคสมัยก่อน

“ดังนั้นนักวิชาการและคนทั่วไปจึงมองว่า เมื่อกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีของประเทศก็ถือว่าเป็นยุคสมัยหนึ่ง ดังนั้นการศึกษาก็จะเริ่มตั้งต้นเหตุการณ์ช่วงปี 2325 เมื่อครั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น โดยลืมมองไปว่าก่อนที่จะมีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์บริเวณพื้นที่แห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

“สำหรับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ แท้ที่จริงแล้วคือการย้ายศูนย์กลางจากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันตกมาทางฟากตะวันออก ทั้งนี้เพราะตำแหน่งที่ของพระบรมมหาราชวังสามารถพ้นวิถีปืนใหญ่ที่จะยิงมาจากเรือรบในแม่น้ำ”

กรุงเทพฯ 235 ปี มองลอดกรอบประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม

ประเด็นที่ 2 การศึกษาที่ยึดติดกับกรอบความคิดเรื่องศูนย์กลาง ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ ชี้ว่าเมื่อทำการศึกษาประวัติความเป็นมาของพื้นที่กรุงเทพมหานคร จึงมุ่งเน้นบริเวณที่ศูนย์กลางทางการปกครอง คือบริเวณพระบรมมหาราชวังและพื้นที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ

“ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวของประวัติความเป็นไปเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้ละเลยพื้นที่ในคลองบางกอกน้อย คลองบางกอกใหญ่ คุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาใต้สะพานพุทธ และคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือสะพานพระปิ่นเกล้า”

ประเด็นที่ 3 นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง บอกว่า ตามความรับรู้ของประชาชนทั่วไป มักจะยึดติดว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกหรือฝั่งพระนคร พื้นที่ฝั่งตะวันตกหรือฝั่งธนฯ เป็นพื้นที่คนละส่วน รวมถึงการยึดติดกับเขตการปกครองของทางราชการ

“ซึ่งแท้ที่จริงแล้วในอดีต ก่อนหน้ารัชกาลที่ 8 ไม่เคยปรากฏว่ามีการแบ่งเส้นแนวเขตการปกครองฝั่งธนฯ ฝั่งพระนครแต่ประการใด”

ประเด็นที่ 4 ส่วนพื้นที่ภายในกำแพงกรุงรัตนโกสินทร์ ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ เตือนให้ฉุกคิดว่า คนไทยลืมนึกไปว่าแท้ที่จริงเมื่อแรกสถาปนาพระนครชุมชนอยู่กันหนาแน่นไม่เกินแนวคลองคูเมืองเดิม หรือที่คนทั่วไปเรียกคลองหลอดเท่านั้น กว่าที่ชุมชนจะขยายมาถึงริมกำแพงเมืองก็ต้องกินระยะเวลาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 และสุดท้ายประเด็นที่ 5 ช่วงระยะเวลาการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นจากสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ซึ่งผลกระทบอันใหญ่หลวงของสงครามครั้งนี้คือ ประชากรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ลดปริมาณลงอย่างมาก

“ดังนั้นเมื่อจะต้องมีการก่อกำแพงพระนครจึงจำเป็นที่จะต้องเกณฑ์แรงงานลุ่มแม่น้ำโขงและจากทะเลสาบเขมรเข้ามาช่วยสร้าง และแรงงานเหล่านี้ก็เชื่อได้ว่าน่าจะตกค้างในเขตกรุงรัตนโกสินทร์ไม่มากก็น้อย ซึ่งก็คือบรรพบุรุษกลุ่มหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์”

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ทั้งในมุมมองของนักประวัติศาสตร์ศิลป์และนักประวัติศาสตร์ที่มีต่อกรุงรัตนโกสินทร์ หรือกรุงเทพฯ ที่เดินทางครบ 235 ปีนั้น คงได้ทำให้การเรียนรู้ทางวิชาการและความรู้ทั่วไปของกรุงรัตนโกสินทร์แตกหน่อออกยอดงอกงามต่อไป

ข่าวล่าสุด

อีลอน มัสก์ สร้างสถิติเป็นคนแรกของโลกที่รวยเกิน 700,000 ล้านดอลลาร์