posttoday

บุญหรือบาป ต่อชีวิตคน จบชีวิตสัตว์

01 เมษายน 2560

การทำบุญตามหลักศาสนา คือ การตั้งใจกระทำสิ่งดีงาม จากนั้นผลที่ตามมา คือ ความสุข ส่วนการปล่อยหรือไถ่ชีวิตสัตว์

โดย...วิรวินท์ ศรีโหมด/ศุภชัย แก้วขอนยาง

การทำบุญตามหลักศาสนา คือ การตั้งใจกระทำสิ่งดีงาม จากนั้นผลที่ตามมา คือ ความสุข ส่วนการปล่อยหรือไถ่ชีวิตสัตว์เพื่อช่วยเหลือชีวิตที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่ตามความเชื่อนิยมทำเพื่อตัดบาปแก้กรรม ในอดีตการจะปล่อยสัตว์ต้องไปที่โรงฆ่า เพื่อขอซื้อชีวิตสัตว์แล้วนำไปปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป แต่ด้วยสภาวะโลกเปลี่ยนไป โรงฆ่าสัตว์มีน้อย จึงทำให้ผู้ที่อยากปล่อยชีวิตสัตว์เลือกไปหาซื้อตามตลาดสด ไม่เว้นแม้แต่ในวัด จนเกิดเป็นธุรกิจค้าชีวิตสัตว์ขึ้นอย่างที่เห็น

สำหรับความเชื่อการปล่อยสัตว์แต่ละชนิดมีหลากหลาย อาทิ ปลาไหล ทำให้การเงิน การงาน การเรียนคล่องตัว ปลาดุก ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากศัตรู ปลาหมอ ทำให้มีสุขภาพดี ปลาช่อน ทำให้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ปลาทับทิม ทำให้ความรักราบรื่น ปลานิล ช่วยให้อุดมสมบูรณ์ เต่า จะช่วยให้อายุยืนยาว กบ ช่วยกำจัดสิ่งไม่เป็นมงคล หอยขม ทำให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และนก ทำให้ชีวิตรุ่งเรือง

ทว่าการปล่อยสัตว์แม้ผู้ที่ทำนั้นมีจุดประสงค์อันเป็นกุศล แต่บางครั้งการกระทำเช่นนี้หลายคนอาจลืมนึกไปว่า หลังจากที่ทำแล้วหากปล่อยแบบไม่ถูกที่ถูกทาง ก็อาจสร้างผลกระทบให้กับสัตว์ได้ เช่น ปล่อยในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ อาจทำให้สัตว์ลำบากต่อการอยู่อาศัย สุดท้ายไม่รอดชีวิต

วงศ์ปฐม กมลรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านการประมงน้ำจืด กรมประมง สะท้อนว่า ผลกระทบของสัตว์ที่ถูกปล่อยลงในแหล่งน้ำธรรมชาติจากการทำบุญ ขึ้นอยู่กับว่าถูกนำไปปล่อยผิดที่ผิดทางหรือไม่ เพราะส่วนมากสัตว์หลายชนิดที่ถูกปล่อยจะไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยเดิม เช่น เต่าชนิดที่ถูกปล่อยส่วนใหญ่เป็นเต่าบก ไม่ใช่เต่าน้ำ ดังนั้นเมื่อถูกปล่อยลงแม่น้ำหรือบ่อ ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีจุดขึ้นมาให้ยืนพักอาศัยก็อาจทำให้เต่าบกจมน้ำตายได้

บุญหรือบาป ต่อชีวิตคน จบชีวิตสัตว์

หรือการปล่อยปลาหมอ ปลาไหล ที่ปกติสัตว์ประเภทนี้จะอยู่ในแหล่งน้ำนิ่งๆ แต่ถ้าหากถูกปล่อยในแม่น้ำก็อาจทำให้สัตว์เหล่านี้ไม่มีความสุข หาอาหารได้ยาก หลังจากนั้นคงจะไม่รอดเช่นกัน และที่น่าเป็นห่วง คือ การปล่อยปลาซึ่งมีนิสัยดุร้าย หรือปลากินปลา โดยส่วนใหญ่จะเป็นปลาต่างถิ่นที่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในไทยและมีขนาดใหญ่ เช่น ปลาดุกแอฟริกา หรือปลาดุกรัสเซีย ปลาอะราไพม่า หรือปลาช่อนอเมซอน ปลาซักเกอร์ ตรงนี้จะทำให้มีผลกระทบเกิดกับปลาชนิดอื่น และเป็นปัญหาต่อระบบนิเวศในธรรมชาติท้องถิ่นโดยตรง แต่ก็น้อยกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์

ผู้เชี่ยวชาญประมงน้ำจืด ชี้ว่า จากปัญหาดังกล่าวทำให้ระบบนิเวศมีผลกระทบ 3 อย่างหลักๆ คือ 1.การปล่อยสัตว์แบบไม่ถูกประเภท จะเป็นการทำร้ายสัตว์โดยตรง 2.ผลกระทบวงกว้างเป็นการทำลายระบบนิเวศในท้องถิ่น 3.เป็นการทำลายสายพันธุ์ปลาชนิดอื่น จึงคิดว่าการทำเช่นนี้อาจจะเป็นการทำบาปมากกว่าทำบุญ

สำหรับวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ มีหนทางเดียวที่สามารถแก้ได้เกือบทั้งหมด คือ ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับผู้ที่จะปล่อย ซึ่งหน่วยงาน องค์กร สื่อ ภาคประชาชน ต้องช่วยกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้สิ่งที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะการไปห้ามเรื่องความเชื่อปล่อยปลาสะเดาะเคราะห์คงเป็นสิ่งที่ทำยากมากกว่า

สพญ.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะสัตวแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาจากการทำบุญปล่อยสัตว์ ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่รู้ของคนที่ไม่ทราบพฤติกรรมสัตว์ชนิดต่างๆ ควรต้องอยู่ในสภาพอย่างไร คิดแต่เพียงว่าทำอะไรที่ง่าย สะดวก และได้บุญเท่านั้น โดยลืมนึกไปว่าสัตว์เหล่านั้นจะอยู่อย่างไรหลังถูกปล่อย

บุญหรือบาป ต่อชีวิตคน จบชีวิตสัตว์

"ทุกวันนี้คนไทยนิยมปล่อยเต่า เพราะความเชื่อที่ว่าจะช่วยให้อายุยืน แต่ความเป็นจริงเต่าไทยเป็นสัตว์คุ้มครองตามกฎหมาย พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 จึงทำให้ผู้ค้าหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยการนำตะพาบไต้หวันมาให้ปล่อยแทน ซึ่งเป็นสัตว์ต่างถิ่นและเมื่อถูกปล่อยลงแหล่งนำธรรมชาติก็มีปัญหา เหมือนปลาดุกรัสเซียที่ถูกปล่อยครั้งละจำนวนมาก ปลาช่อนอเมซอน ปลาซักเกอร์ สัตว์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติเลย"

ทั้งนี้ เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ที่มีขนาดใหญ่จะไปกินปลาประจำถิ่นขนาดเล็กจนหมด จึงเป็นการทำลายสมดุลชีวภาพที่หลากหลาย และหากสัตว์ที่ถูกปล่อยไปไม่แข็งแรง เพราะถูกขังในถังที่แออัดเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสเสี่ยงไม่รอดหากถูกปล่อยออกไปเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นการที่หวังได้บุญก็อาจไม่เป็นตามที่หวังถ้าหากทำให้สัตว์ตาย

สพญ.นันทริกา อธิบายเพิ่มเติมว่า เต่าดำควรอยู่ในโคลน ไม่ใช่ปล่อยลงแม่น้ำ เต่าบัวก็ต้องปล่อยในบึง ส่วนเต่านาควรปล่อยในนา เพราะเต่าประเภทกินหอยขม เพราะถ้าถูกปล่อยไปอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมจะไม่สามารถหาอาหารกินได้ ซึ่งจะเป็นการทรมานสัตว์เข้าไปอีก อย่างไรก็ตามทางที่ดีขอเตือนว่าไม่ควรสนับสนุนกลุ่มผู้ที่จับสัตว์มาจำหน่าย เพราะเป็นการส่งเสริมวัฏจักรให้ระบบนี้หมุนต่อไป แต่ถ้าหากจำเป็นต้องปล่อยจริงๆ ควรรู้เบื่องต้นว่าสัตว์เหล่านั้นหากินหรือมีถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยที่ไหนก็ได้

ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ หรือให้ตรวจดูอาการสุขภาพของสัตว์ก่อนปล่อยว่าจะสามารถรอดชีวิตต่อไปหลังถูกปล่อยหรือไม่ เพราะสัตว์ที่ถูกจับขังในถังที่แออัดอาจป่วยหรือพิการ และถ้าถูกปล่อยไปคงไม่รอด

บุญหรือบาป ต่อชีวิตคน จบชีวิตสัตว์

นอกจากนี้ กรณีความเชื่อการทำบุญที่เกิดปัญหาขึ้นกับสัตว์อย่างเต่าออมสินที่ตายไป เพราะได้รับผลกระทบจากการโยนเหรียญเพื่อขอพร อธิษฐาน ทำบุญ มองว่าปัญหานี้เป็นผลร้ายที่เกิดขึ้นกับสัตว์ทางตรง จึงขอฝากเตือนผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้ หากจะทำอะไรควรอ้างอิงบนหลักการเหตุผลว่าสิ่งที่ทำเป็นการทำร้ายสิ่งอื่นหรือไม่ เพราะสัตว์ไม่สามารถพูดได้และไม่ได้เลือกมาอยู่ในจุดนั้น แต่เป็นฝีมือมนุษย์ที่นำชีวิตสัตว์เหล่านี้มาใช้เพื่อผลประโยชน์ จึงคิดว่าควรนำกรณีเต่าออมสินมาเป็นบทเรียน

สพญ.นันทริกา ทิ้งท้ายว่า ชีวิตสัตว์ทุกตัวไม่ว่าจะตัวเล็กหรือใหญ่ มีหนึ่งชีวิตเท่ากันเหมือนกับคน ฉะนั้นถ้าคิดว่าคนไม่สามารถอยู่ได้ในสภาพแบบใด เช่น อยู่ในน้ำเน่าหรือกินอาหารผิดประเภท สัตว์ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน และคิดว่าการทำบุญไม่ควรส่งเสริมทำให้เกิดวงจรธุรกิจขายสัตว์ปล่อย เพราะสัตว์จะถูกจับมาขังในสถานที่แออัด ถึงแม้สัตว์แต่ละตัวที่สามารถรอดมา ก็อาจมีอีกนับสิบหรือร้อยตัวที่ต้องตาย

ภิมุข สิมะโรจน์ อดีตผู้อำนวยการผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สะท้อนว่า การทำบุญหรือเรื่องความเชื่อ เข้าใจว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ห้ามกันไม่ได้ แต่อยากฝากขอให้คนในสังคมแยกเรื่องการทำบุญกับสวัสดิภาพสัตว์ เพราะการที่ทุกคนประสงค์ทำบุญ แต่สัตว์ไม่ได้มารับรู้อะไรด้วย และต้องมารับผลกระทบจากการทำบุญของมนุษย์ จึงคิดว่าเรื่องนี้ควรแยกให้ออก หรือถ้าหากประสงค์อยากทำบุญกับสัตว์จริงควรมีวิธีอื่น เช่น บริจาคเงินเพื่อสมทบเป็นค่าอาหารสัตว์ ดีกว่าโยนเหรียญลงในบ่อ เพราะการทำบุญที่เหมาะสมไม่ควรทำให้ความเชื่อกระทบกับชีวิตสัตว์

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญที่คลุกคลีชีวิตสัตว์ ต่างสะท้อนถึงการทำบุญตามวัดและในสวนสัตว์ ที่ส่งผลร้ายต่อสัตว์ทางอ้อมโดยที่ประชาชนไม่ตระหนัก แต่ในส่วนของผู้คนทั่วไปที่ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาตามวัด มองว่า การทำบุญด้วยวิธีดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือสัตว์ให้ปลอดภัยและมีชีวิต

ศักดิ์ชัย ยอดยิ่ง ผู้ที่เดินทางมาทำบุญวัดมหาบุศย์ กล่าวว่า ความเชื่อเรื่องการปล่อยสัตว์น้ำเป็นการละทิ้งความทุกข์ให้ลอยลงไปกับแม่น้ำ โดยส่วนตัวมักนิยมปล่อยปลาไหล เต่า และปลาชนิดต่างๆ ส่วนสภาพแวดล้อมที่ปล่อยสัตว์ก็อิงตามความสบายใจและสะดวกเป็นหลัก เพราะคิดว่าสัตว์เหล่านั้นน่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าในตู้ขังที่ไม่เป็นอิสระ และสัตว์ที่ปล่อยไปจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ตามสัญชาตญาณ

ศรีวิไล แก่นสำโรง ประชาชนทั่วไป คิดว่า การทำบุญปล่อยสัตว์เพื่อต้องการให้สัตว์เหล่านั้นมีชีวิตอยู่รอดต่อไปในธรรมชาติ ส่วนพื้นที่การปล่อยก็ต้องคำนึงว่าสัตว์จะอยู่รอดได้หรือไม่ ส่วนตัวมักจะปล่อยภายในสระน้ำของวัดเพราะคิดว่าปลอดภัย

ในมุมพระพุทธศาสนา พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว อธิบายว่า นับแต่สมัยพุทธกาลการทำบุญเป็นไปเพื่อชำระล้างขันธสันดาน เนื่องจากสันดานของคนมีความสกปรก ความโลภ และความเห็นแก่ตัว แต่มาถึงปัจจุบันก็เกิดความผิดพลาดจากการทำบุญจนเกิดเป็นพิษภัย เนื่องจากบางคนทำบุญแล้วติดคุก บางคนทำบุญแล้วผูกคอตาย หรือแม้แต่ทำบุญจนเสียทรัพย์ เช่น การสร้างอาคารปฏิบัติธรรม หรือสร้างสถานที่ต่างๆ ให้ใหญ่โตมโหฬารเพื่อแข่งกันสวยงาม

ทั้งนี้ บางคนที่หวังให้ตนอายุยืนก็มักปล่อยเต่าปล่อยปลา โดยไม่ยอมดูแลสุขภาพร่างกายไม่พักผ่อน สุดท้ายก็ต้องตาย ดังนั้นจะหวังอาศัยเพียงผลบุญก็ช่วยอะไรไม่ได้ และคนที่ปล่อยก็ไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมา เพราะถ้าหากปล่อยเต่าปล่อยปลาในน้ำน้อย สัตว์เหล่านี้ก็อาจไม่มีชีวิตรอด เนื่องจากมีน้ำไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงร่างกาย หรืออาจถูกสัตว์ใหญ่กินเป็นอาหาร กลายเป็นว่าคนไทยทำบุญแบบไม่ค่อยคิดพิจารณา คิดเพียงว่าจะต้องทำอย่างเดียว

พระพยอม เล่าว่า จุดเริ่มต้นการทำบุญปล่อยสัตว์ เกิดจากเรื่องเล่าที่ว่าสมัยก่อนมีสามเณรรูปหนึ่งถูกอาจารย์ทักว่า จะหมดอายุขัยภายใน 7 วัน สามเณรรูปนั้นจึงได้ไปสั่งลาบิดามารดาว่าจะสิ้นอายุขัยแล้ว แต่ขณะที่เดินทางกลับจากการลาบิดามารดา ก็ได้มองเห็นปลาในสระที่กำลังจะตายเพราะน้ำแห้ง สามเณรจึงคิดว่าชีวิตของตนใกล้จะดับสูญแล้ว แต่ปลาเหล่านั้นควรมีชีวิตรอด สามเณรจึงได้นำปลาหลายร้อยชีวิตไปปล่อยในที่แห่งใหม่ เวลาผ่านไปร่วมสิบกว่าวัน ปรากฏว่าสามเณรรูปนั้นยังไม่เสียชีวิต จึงถามอาจารย์ว่าเพราะเหตุใดจึงยังมีชีวิตอยู่ อาจารย์จึงบอกกับสามเณรว่าเกิดจากอานิสงส์ที่ได้ช่วยเหลือปลาหลายร้อยชีวิต นับตั้งแต่นั้นมาจึงเกิดความเชื่อการปล่อยปลาสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่การทำบุญโยนเหรียญลงไปในบ่อจนเกิดผลกระทบกับสัตว์นั้น เพิ่งมีขึ้นไม่นานโดยได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ที่มักโยนหรือวางเหรียญในสถานที่ต่างๆ ก็ทำต่อๆ กันมาจนกลายเป็นประเพณีท้องถิ่นไทย แต่ทางที่จริงการทำแบบนั้นไม่มีประโยชน์อะไร และกลับกลายจะเป็นโทษด้วยซ้ำ ซึ่งคิดว่าแทนควรนำเงินเหล่านั้นไปให้เด็กหรือไปเป็นทุนการศึกษาน่าจะดีกว่า

พระพยอม กล่าวว่า การทำบุญที่ได้ผลบุญ แท้จริงต้องทำให้จิตใจเกิดเมตตาถึงจะเกิดความสุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เช่น คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทำทาน 100 ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าแผ่เมตตาครั้งเดียว อีกทั้งสมเด็จโต พฺรหฺมรํสี ก็เคยบอกว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ดีกว่าสร้างอุโบสถ 1 หลัง นอกจากนี้ยังมีนักปราชญ์ชาวจีน ระบุไว้ว่า ตั้งน้ำตุ่มน้อยไว้หน้าบ้านให้คนเดินผ่านได้ดื่มกินดับกระหาย ดีกว่าสร้างเจดีย์ 7 ชั้น

"การทำบุญแท้จริงแล้ว ไม่ต้องไปเสียเงินหรือปล่อยสัตว์ เพียงทำกิริยาให้อ่อนน้อม เก็บขยะ หรือช่วยพัฒนาบ้านเมืองให้สะอาดก็เป็นบุญ โดยที่ไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือยทรัพย์เลย " พระพยอม กล่าว

ข่าวล่าสุด

HAAB (หาบ) มัดรวม 9 รสชาติที่สุดแห่งปี ที่ชาวโซเชียลไม่อยากมูฟออน