posttoday

ชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผล อานนท์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา

12 มีนาคม 2560

หากฟังเรื่องราวชีวิตของ แต็ก-อานนท์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา แม้ผ่านมาเพียง 38 ฝน แต่ก็เต็มไปด้วยบาดแผลในการใช้ชีวิตในวัยเด็ก

โดย...วราภรณ์ ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

หากฟังเรื่องราวชีวิตของ แต็ก-อานนท์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา แม้ผ่านมาเพียง 38 ฝน แต่ก็เต็มไปด้วยบาดแผลในการใช้ชีวิตในวัยเด็กที่ผ่านการผจญภัยมากมาย เช่น การติดคุกนานถึง 12 ปี แต่สามารถกลับตัวกลับใจมาเป็นคนดีได้ อาจเป็นเพราะเขาโชคดีที่ได้รับโอกาสและกำลังใจที่ดีของผู้เข้าประกวดรายการเดอะวอยซ์ซีซั่นที่ 5 ทีมโค้ชก้อง-สหรัถ สังคปรีชา ที่ผ่านเข้ารอบ 4 คนสุดท้าย

 อานนท์ เชื่อว่าเรื่องราวที่หลงผิดของเขาอาจเป็นตัวอย่างและบทเรียนให้คนอื่นๆ อย่าทำตามเด็ดขาด

 ปัจจุบันเขามีจุดยืนในชีวิต มีความชัดเจนว่าเขาจะตั้งใจเป็นคนดี มีความหวังในชีวิต แล้วชีวิตนี้พอแล้วกับเรื่องที่ไม่ดี

วัยเด็ก ครอบครัวเป็นรากฐานที่สำคัญ

 นามสกุล “วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา” ของอานนท์ สืบเชื้อสายมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 พอพ่อกับแม่ของเขาหย่ากัน ค่าที่เป็นลูกชายคนโต แม่ของเขาจึงอยากให้ใช้นามสกุลของแม่ อานนท์ เล่าว่า ชีวิตของเขาเริ่มเปลี่ยนตอนอายุ 14 ปี ที่กลายเป็นหัวโจกในโรงเรียน การต้องการได้รับการยอมรับในโรงเรียน

 “จุดเปลี่ยนของผม จากที่พ่อสอบเข้าทำงานที่การท่าเรือได้ ครอบครัวเราต้องย้ายมาอยู่ที่คลองเตย ผมอยู่ที่นั่นนาน 8 ปี พอผมสอบเข้ามัธยม 1 ได้ ตอนนั้นอายุ 12 ต้องย้ายโรงเรียนไปอยู่บ้านย่า ความยากลำบากของผมคือการต้องปรับตัว ผมเริ่มโดนเพื่อนใหม่แกล้ง ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อน ผมต้องอยู่ห่างจากแม่ แม่ซึ่งต้องทำงานหนักคนเดียวเพื่อเลี้ยงลูก 3 ผมรู้สึกขาดความอบอุ่นหนักกว่าเดิม มีปัญหาไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกใคร เก็บไว้คนเดียว จนหาทางออกให้ตัวเอง คือ ก็เลวเหมือนเพื่อน กลายเป็นหัวโจก มีเรื่องชกต่อย จนไปเกี่ยวข้องกับสารระเหย ตอนไปออกค่ายลูกเสือผมไปดมจนเมา จากที่เคยโดนลงทัณฑ์บนจากการสูบบุหรี่ก็โดนให้ออกจากโรงเรียนตอนอยู่แค่มัธยม 2 เท่านั้น”

ชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผล อานนท์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเริ่มยุ่งเกี่ยวยาเสพติด

 พอโดนให้ออกจากโรงเรียนชีวิต เขาเริ่มเคว้ง จากหัวโจกในโรงเรียนกลายเป็นหัวโจกภายในหมู่บ้าน เมื่อลูกน้องมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนต่างหมู่บ้าน เขาก็ต้องไปช่วยเคลียร์ปัญหา แล้วก็เกิดอุบัติเหตุทำร้ายร่างกาย มีดด้ามยาวที่เหน็บอยู่ข้างหลังอานนท์ที่ชักออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง กลายเป็นอาวุธกรีดแขนเพื่อนต่างหมู่บ้าน เขาถูกตำรวจตามตัวต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาอยู่กับแม่ที่ย่านคลองเตย ตอนนั้นเขาอายุเพียง 14 ปี

 “เมื่อผมก็ต้องหนีไปอยู่กับแม่ที่คลองเตย ครอบครัวพ่อก็เริ่มย้อนกลับมามอง จะแก้ไขปัญหาอย่างไร พ่อก็พาผมไปสมัครเรียนที่อำนวยศิลป์แต่ก็เข้าไม่ได้ ผมก็เลยคว้าง ตอนอยู่บ้านยาย ผมแค่เกเรตีกับเพื่อนกลุ่มอื่น แต่พอมาอยู่คลองเตย ผมเริ่มปรับตัวกับเพื่อนที่คลองเตย เริ่มติดสารระเหย จนถูกจับได้ไปโรงพักก็ถูกประกันตัวและปล่อยออกมา”

 ชีวิตของอานนท์เริ่มตกอยู่ในวังวนของสารระเหยอยู่อีก 5 เดือน สถานที่ปลอดภัยในการทำสิ่งผิดคือบ้านเพื่อน แม่ห้ามแม่เตือนก็เลิกไม่ได้

 จากนั้นชีวิตดิ่งลงลึกที่กัญชา ชีวิตของเด็กที่ปราศจากนายท้ายเรือนำพาชีวิต ชีวิตเขาเลวร้ายหนักอย่างที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับลูกหลานก็คือ เขาเริ่มรู้จักเฮโรอีน เพราะทำตามเพื่อน แค่เพื่อนให้ลองครั้งแรกก็ลองทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็ติดยาเสพติดที่น่ากลัวที่สุดหลังจากเสพได้เพียง 6 เดือน เขาเริ่มติดหนักขึ้นเพราะเป็นช่วงเวลาที่สารเสพติดส่งผลร้ายแรงต่อร่างกาย

 “พอผมเริ่มติดมันจะเกิดอาการที่เลวร้ายคือ ผมตื่นมาวันหนึ่งรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว อาการนี้บ่งบอกว่าผมตกเป็นทาสมันแล้ว แต่ผมจะมีความทรงจำบางอย่างกับเฮโรอีนคือจะแค่สูบ แต่ไม่ฉีดเพราะผมเคยเห็นคนตายในโอ่งน้ำที่แฟลตเพราะฉีดเฮโรอีน” 

ชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผล อานนท์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา

 อานนท์ บอกว่า ช่วงอายุ 14-18 ปี เป็นช่วงเวลาที่เขาพลาดเอง เพราะผลจากสารเสพติดตัวร้ายคือมันยิ่งกว่าถูกกลืนกินชีวิต มันไม่สนุกอีกต่อไป เพราะเวลาที่เขาเสี้ยนยา มันจะเกิดอาการนอกจากครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว จะมีอาการน้ำมูกไหล หาวทั้งวัน กินอะไรไม่ได้ ยิ่งร่างกายโหยยามากเท่าไหร่ อาการจะยิ่งหนักขึ้น มันทรมานมาก จนหนักสุดเขาอาเจียนเป็นน้ำสีเหลืองๆ ขย้อนออกจากกระเพราะและกินอะไรไม่ได้เลย ระบบภายในร่างกายรวนทั้งหมด

 อานนท์ หาคำตอบในชีวิตได้ว่า เขาต้องเลิกมันให้ได้ เพราะหากตกเป็นทาสยาเสพติดมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอซื้อยาเสพ และมักถูกโกงอยู่เสมอ เพื่อนที่ทำงานขายคอมพิวเตอร์รู้ว่าอานนท์ติดยาก็พยายามรวบรวมเงินให้ไปซื้อยามาประทังชีวิต แล้วก็ถูกโกงโดนเชิดเงินไปราว 1.8 หมื่นบาท

 “ขณะนั้นผมได้งานเป็นพนักงานในร้านคอมพิวเตอร์ ขณะทำงานพอร่างกายของผมต้องการมันมากๆ แล้วไม่ได้ ผมทำงานไม่ได้ต้องกลับบ้าน ผมหมดแรงอยู่ในซอยบ้าน มีเด็กๆ เล่นชิงช้าอยู่ข้างๆ ขณะที่ผมอาเจียนอยู่นั้น มันน่าเวทนามากๆ นึกถึงตัวเองว่าทำไมเราถึงได้เป็นแบบนี้ เสียงหัวเราะของเด็กๆ ทำให้ผมย้อนกลับไปชีวิตในวัยเด็กของผมก็เคยมีเสียงหัวเราะแบบนี้ แล้วทำไมชีวิตผมจึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเป็นทาสยาเสพติด ตอนนั้นผมอายุแค่ 17 ปี ผมมีแรงสู้ รวบรวมเรี่ยวแรงเดินกลับห้อง และผมก็รวบรวมความกล้าบอกพ่อว่า พ่อผมติดแป๊ะ (เฮโรอีน) ผมต้องการความช่วยเหลือจากพ่อ เพราะผมรู้ว่ามีศูนย์เลิกยาเสพติดอยู่แถวๆ บ้าน พ่อก็พาผมไปสมัครเพราะผมยังไม่ 20 ต้องมีผู้ปกครองพาไป แต่การรักษาคือผมไม่ได้ฉีดเข้าเส้น จึงไม่ได้กินยาเมทาโดน โดยพ่อลางาน 30 วันเพื่อพาผมไปศูนย์บำบัดยาที่บ่อนไก่

 “ตอนผมบอกพ่อว่าผมติดยา พ่ออึ้งแล้วก็เงียบ แต่ก็พาผมไปบำบัด ตอนที่ผมบำบัดที่ศูนย์เจ้าหน้าที่ให้กินยานาน 30 วัน ช่วงเวลานั้นผมได้ใกล้ชิดพ่อมาก มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก หากเกิดอาการเสี้ยนยาเหมือนตอนที่เป็นไข้หวัดใหญ่แล้วลุกไม่ขึ้นแต่มันจะคูณสอง ทั้งอาเจียนทั้งไส้บิด มันทรมานมาก ผมใช้แบบสูบก็ต้องบำบัดด้วยการกินยาล้างพิษ กินยาทุกเช้า กินยาไป 3 วันแรกทุกข์มากๆ ผมถูกมัดติดทั้งแขนและขาติดกับขาเตียง นอนกลิ้งกับพื้น แม่ต้องเอายาเย็นๆ มาทาตามตัวเพื่อช่วยบรรเทาอาการ เพราะผมรู้สึกข้างในผมหนาวมาก ผมนอนกระตุกทั้งคืน แม่ต้องใจแข็ง ผมร้องให้แม่ปล่อยผมเหอะ แม่ก็ใจแข็งมัดไว้ไม่ให้ไปไหน หลังผ่านไป 15 วัน ถึงเริ่มกินอะไรได้ ณ ตอนนั้นให้ผมกลับไปเป็นแบบนั้นอีก ผมไม่เอาแล้ว”

ชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผล อานนท์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา

เลิกยาได้แล้วต้องเปลี่ยนสังคม

 สิ่งที่ต้องทำหลังเลิกงานได้ คือ ต้องเปลี่ยนสังคม เพราะหากคบเพื่อนกลุ่มเดิมต้องกลับมาเป็นทาสยาเสพติดอีกแน่ อานนท์เริ่มเอาตัวออกไปจากที่นั่น โชคดีที่เจอพี่ที่เล่นดนตรีทำให้เขาได้วิชาร้องเพลงมา และได้เจอแฟนคนแรก สัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเป็นทาสยาเสพติดอีก แม้มีเพื่อนๆ ใกล้ตัวเสพ เขาก็ไม่ไปยุ่งกับมันอีก เพราะประสบการณ์ช่วยสอนใจ สำหรับวันนั้นกำลังใจกับเป้าหมายชีวิตของเขาสำคัญที่สุด เขาพยายามหาคุณค่าชีวิตของเขาเอง ชีวิตช่วงหลังเลิกยาเสพติดมันเต็มมาก ทำให้เขาหายใจต่อไปได้

หลงผิดเป็นทาสยาบ้า

 แล้วอานนท์ก็พ่ายแพ้ให้กับชีวิตอีกครั้ง เมื่อจิตใจไม่เข้มแข็งมากพอที่จะปฏิเสธกับยาเสพติดอีก เพราะฉะนั้นการคบเพื่อนที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

 “ผมเล่นดนตรีได้ปีเศษ มีเพื่อนติดยาก้าวเข้ามาในชีวิต เพื่อนแค่เอ่ยพากันเข้าไปในชุมชน ใช้ยาได้แค่ 2 เดือนผมเริ่มติดอีกแล้ว อาการเดิมๆ กลับมา และเปลี่ยนจากเฮโรอีนเป็นยาบ้าที่กระตุ้นประสาท ตอนนั้นผมเริ่มกลับไปเรียนศิลปะที่พระนคร เรียนศิลป์ประยุกต์ ตอนนั้นอายุ 18 ปี ด้วยเป็นยากดประสาททำให้ผมมีอาการก้าวร้าว และเข้าใจผิดคิดว่ายาบ้าช่วยทำให้เขาสร้างสรรค์งานศิลปะที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งผิด”

 ในที่สุดเขาติดยาบ้าหนักมาก กลายเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่ได้นอนหลับพักผ่อน กินไม่ได้ เริ่มมีโลกส่วนตัว จับจดทำอะไรซ้ำๆ แล้วก็โดนจับครั้งแรกในข้อหาครอบครองยาบ้า พ่อไปประกันตัวออกมาแล้วศาลตัดสินรอลงอาญาต้องไปรายงานตัว แต่ก็ไม่ช่วยทำให้เขาเข็ดขยาด สุดท้ายผ่านไปเพียง 9 เดือน เขาก็โดนจับกุมครั้งแรกเข้าเรือนจำโทษฐานครอบครองยาบ้า ต้องจำคุก 1 ปี 6 เดือน

ถูกจำกัดอิสรภาพ

 เข้าคุกวันแรกอานนท์บอกว่าเขารู้สึกกลัวไปหมด ต้องทำตามผู้คุมบอกให้แก้ผ้าดูว่าพกสิ่งต้องห้ามเข้ามาหรือไม่ สั่งให้อาบน้ำเพื่อชำระร่างกายเพียง 1 วินาที ก็ต้องทำให้เสร็จ ตอนนั้นเขาเกิดจินตนาการว่าการติดคุกจะโดนปฏิบัติเหมือนในภาพยนตร์ที่เขาดูผ่านตามาหรือไม่ ทำให้เขาเกิดความกลัวมากๆ

 “อาหารมื้อแรกในคุกใส่จานอะลูมิเนียมบุบๆ มา มีข้าวแล้วก็มีเหมือนแกงส้มผักเหมือน

เน่าๆ โปะลงมา ผมก็ต้องกิน วันแรกจำได้นอนร้องไห้อย่างเดียว กลัวไปหมด พอขึ้นไปนอนในห้องขังที่จุคนราว 50 คน มีทั้งคนเก่าคนใหม่คละกัน พอเข้าไปคนถามกันเจี๊ยวจ๊าวว่าผมมาจากไหน พอบอกคลองเตย ผมก็ถูกดึงไปกลุ่มที่มาจากคลองเตย แม้ผมรู้สึกอุ่นใจแต่จริงๆ เราเหมือนไปเป็นเหยื่อเขาที่จะถูกดึงของเยี่ยมจากญาติ ของฝากมาถึงผมน้อยมาก แล้วผมก็ถูกจำแนกแดน”

 รวมเบ็ดเสร็จอานนท์ถูกจำกัดอิสรภาพนานถึง 12 ปี เข้าๆ ออกๆ คุกทั้งหมด 5 ครั้ง เพราะเหตุผลเดียวคือการไม่รักตัวเอง เพราะหลังจากออกจากคุกครั้งแรกหลังจากติด 1 ปี 6 เดือน เขาเจอสภาพกดดันจากแฟนคนแรกที่มาขอเลิก แม้คุกจะพัฒนาทักษะ วุฒิภาวะ ผ่านการบำบัดทำให้เขาโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น แม่ก็พบว่าอานนท์เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

 แต่ในวัย 20 ต้นๆ เมื่อแฟนมาขอเลิก ประกอบกับเขาต้องมีภาระหาเงินมาส่งเสียให้น้องเรียน อานนท์จึงหลงผิดกลับไปค้ายาและเสพยาจนต้องติดอยู่ในวังวนแบบเดิมๆ ซึ่งอานนท์วิเคราะห์ว่ามันมาจากปัญหาจากใจของเขาเองที่ไม่เข้มแข็งพอ คิดว่ายาเสพติดจะช่วยให้เขาแก้ปัญหาได้ แต่จริงๆ แล้วกลับสร้างปัญหาใหม่ๆ แล้วก็กลับเข้าคุกอีก

ชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผล อานนท์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา

เริ่มหลงระเริง

 “รอบสองผมโดนจับครอบครอง 5 เม็ด รอบสามโดนอีก 30 เม็ด รอบสี่โดนข้อหาจำหน่าย แล้วก็มีรอบที่ห้าซึ่งการกลับมาครั้งนี้หัวหน้าของเรือนจำไม่ให้ผมจับเครื่องดนตรีอีก ผมรู้สึกแย่มากๆ เพราะย้อนไปตอนติดคุกรอบที่สี่นาน 3 ปี ผมได้เจอกับครูโฉมฉาย อรุณฉาน ครูไปสอนร้องเพลงในเรือนจำลาดยาว ทัณฑสถานพิเศษกลาง ผมก็ได้รับความเมตตาจากอาจารย์ ผมเหมือนเป็นเพชรในรุ่น ฉายแววส่องประกาย

 “มีอยู่วันหนึ่งผมเรียนจบหลักสูตรต้องใส่สูทเข้ารับประกาศนียบัตร ครูบอกกับผมว่าเมื่อไหร่พ้นโทษไปหาครูนะ พอผมถูกปล่อยตัว ผมก็ไปหาครู แล้วกรมประชาสัมพันธ์ก็ส่งผมไปร่วมงานคอนเสิร์ต ครูให้โอกาสผมมากๆ ผู้คนก็ฮือฮาที่ผมเป็นนักโทษ คนชื่นชมมาก เติมเต็มผมจนล้น แล้วผมก็หลงระเริง คนนู้นคนนี้หยิบยื่นโอกาส แต่ผมก็ใจอ่อนแค่เพื่อนบอกว่าเอาหรือเปล่า ผมก็หันไปติดยาเสพติดอีก แล้วก็ขาดความรับผิดชอบ

 “สุดท้ายสิ่งที่ดีๆ ที่เข้ามาก็ออกไปพร้อมกันหมด แล้วผมก็เคว้งอีกครั้ง แล้วก็ไปคว้าฟางเส้นสุดท้ายค้ายาเหมือนเดิม พอกลับเข้าคุกไปครั้งสุดท้ายผมเหมือนหมาเลย เข้าไปไม่มีใครยอมรับ คนรักก็ไม่ต้อนรับ ไม่ให้ผมจับเครื่องดนตรีแล้ว เพราะผมอายุมากแล้ว แต่รองหัวหน้าก็ยังเมตตาผม ยังรับผมเข้าแดนเดิม จริงๆ แล้วคนที่ผิดสิ่งเดียวที่เขาต้องการคือโอกาส ซึ่งถือเป็นโอกาสครั้งที่สำคัญกับผมมากที่สุด ถ้าต่างคนต่างคิดว่าคนนี้ไม่ไหวแล้วถูกดันออกไป เขาจะกลับมาเป็นคนดีได้อย่างไร ต้องขอบคุณหัวหน้าและรองที่ยอมรับผม แล้วจุดเปลี่ยนความคิดผมก็คือหัวหน้าบอกว่า อย่าให้กูเห็นมึงจับเครื่องดนตรีนะ ทำให้ผมเกิดเข็ดหลาบในใจ ผมไม่ได้จับเครื่องดนตรีนานถึง 2 ปี จากที่ผมโดนตัดสินจำคุก 6 ปี 7 เดือน”

 แล้วเขาก็ได้เจอพี่ตูน บอดี้สแลม หรือ อาทิวราห์ คงมาลัย ซึ่งถือเป็นผู้จุดประกายครั้งสำคัญในชีวิตของอานนท์

เหมือนเจอแสงไฟที่ปลายอุโมงค์

 ผ่านไป 2 ปี อานนท์เริ่มได้จับเครื่องดนตรี เพราะมีรายการเจาะใจมาถ่ายทำรายการในเรือนจำ มีตูน บอดี้สแลม และป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม เข้ามาจัดคอนเสิร์ต เป็นช่วงเวลาที่นักร้องคนเก่าถูกปล่อยตัวไป เรือนจำต้องหานักร้องมาโชว์แทน แล้วผู้ใหญ่ก็เห็นศักยภาพของเขา อานนท์จึงได้กลับมาจับไมค์อีกครั้ง และก็ได้ร้องเพลงร่วมกับไอดอลในดวงใจ ตูน บอดี้สแลม บนเวที

 “บนเวทีผมได้ร้องเพลง ‘แสงสุดท้าย’ ซึ่งเป็นเพลงของพี่ตูน เราได้ร้องเพลงบนเวทีเดียวกัน พี่ตูนชมผมว่าผมร้องเพราะกว่าพี่เขาอีก พี่น่ารักมาก พี่ตูนให้กำลังใจผมว่าทำต่อไป ทำให้สุด มีความสุขกับสิ่งที่ทำ มันช่วยเติมพลัง พี่ตูนบอกว่าผมมีดี หากขาดอะไรบอกเขา ผมบอกพี่ตูนว่า ผมอยากได้กีตาร์โปร่ง แล้วพี่ตูนก็ยกกีตาร์ของพี่ตูนราคา 3 หมื่นบาทให้ การเจอพี่ตูนผมเหมือนได้รับพลังอะไรบางอย่าง แล้วพี่
ตูนก็ได้เขียนให้กำลังใจใส่กระดาษให้ผมว่า แต็กร้องเพลงเพราะมากครับ หวังว่าจะได้ร้องเพลงร่วมกันอีก แล้วเซ็นชื่อพี่ตูนลงไป ผมยังเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ดูทุกคืน”

 หลังจากนั้นเขาต้องถูกจำกัดอิสรภาพต่ออีก 4 ปี เป็นช่วงเวลาที่เดอะวอยซ์ เวทีเติมความฝันซีซั่น 1 เกิดพอดีในเมืองไทย มันเป็นพลังส่งต่อให้อานนท์ตั้งใจทำวันที่เหลือให้ดีที่สุด เขาจึงตัดสินใจเลิกบุหรี่ เขากล้าที่จะท้าทายตัวเองและทำให้สำเร็จ และสามารถเอาชนะหัวใจดวงเดียวกันได้สักที หลังจากที่เขาแพ้มาโดยตลอด

 “ทุกวันนี้ผมกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต ผมเริ่มหันมาออกกำลังกาย เริ่มฝึกฝนตัวเอง เตรียมความพร้อมทั้งหมดเพื่อตัวผมเอง บนเวทีเดอะวอยซ์ซีซั่น 5 ผมพยายามทำให้ดีที่สุด เวลา 4 ปีในคุก ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจน ผมจะไปเดอะวอยซ์ แล้วผมก็ทำได้สำเร็จ”

โอกาสหลังออกจากคุก

 ปัจจุบันอานนท์ได้เซ็นสัญญากับค่ายทรูมิวสิค และร้องเพลงประจำอยู่ที่ร้านน็อกเอาท์ 28 ย่านห้วยขวาง วันพฤหัสฯ พุธ กับเสาร์ และที่ร้าน goo เกษตรนวมินทร์ นอกนั้นยังออกงานอีเวนต์อยู่อย่างสม่ำเสมอ

 อย่างไรก็ดี บทเรียนที่เขาได้จากการจำกัดอิสรภาพคือ อานนท์บอกว่าเขารู้สึกรังเกียจตัวเองทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าไอ้ขี้คุก บางคนที่ดูถูกตัวเองอยู่แล้ว จะยิ่งไม่มีแรงก้าวต่อไป ดังนั้นการให้โอกาสเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ตราบใดที่สังคมผลักคนที่เคยพลาดแล้วออกไป

“คนที่เขาทำผิด เขาจะถูกทิ้งเคว้งคว้าง แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้กลับมาเป็นคนเต็มคนเหมือนเรา ที่สำคัญพวกเขาต้องการความรักจากคนในครอบครัว อย่าพูดถึงอดีตของเขา อยากให้ผู้ว่าจ้างเห็นใจ เราควรใช้ชีวิตกับปัจจุบันมากกว่าติดอยู่กับอดีตซึ่งเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้อีก การที่มีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเงิน เงินเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น”

 สำหรับน้องๆ พี่แต็กอยากบอกน้องๆ ว่า ปัจจุบันเด็กเริ่มติดยาอายุน้อยลงเรื่อยๆ ก่อให้เกิดคดีอาชญากรรมมากมาย

 “ยาเสพติดเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คนไม่เป็นคน ทำให้คนไม่มีสติในการตัดสินใจ อยากฝากน้องๆ ว่า เชื่อในความสุขและความรักที่ได้รับจากคนในครอบครัว คนที่หลงผิดกับยาเสพติดมันเป็นความสุขที่ไม่จีรังและไม่มีอยู่จริง ขอให้น้องๆ รักพ่อแม่มากๆ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เด็กมีหน้าที่เรียนก็จงเรียนเพื่อตัวเอง อยากฝากให้คิดและตระหนัก

 “แม้ว่าวันนี้ใครก็ตามหลงเข้าไปแล้วก็ขอให้หยุด และหลุดออกมาให้ได้ และให้โฟกัสเรียนให้มากๆ เพราะการเรียนมันเป็นตัวบอกว่าเรายังมีอนาคตเหลืออยู่ ถ้าเราไม่ได้เรียนยิ่งไปกันใหญ่ ผมไม่อยากเห็นแต็กคนที่ 2 เวลา 12 ปีในคุก ผมรู้สึกเสียดายเวลามากๆ  ถ้าผมจะมีลูก ผมอยากให้เขาเรียนรู้ทุกอย่าง แล้วเมื่อเขาโตขึ้นแล้วค่อยให้เขาเลือก ผมจะเลี้ยงลูกแบบไม่บังคับ ผมจะรักเขาให้มากๆ ผมจะเป็นเพื่อนเขา อยากให้เขารู้สึกว่าอยู่กับพ่อจะปลอดภัย มีอะไรเขาจะพูดกับผม เพราะผมรู้สึกผมห่างกับพ่อแม่ อยากให้ทุกคนกล้าที่จะพูดกับลูก การพูดกันสำคัญมากนะครับ” อานนท์ ผู้เคยมีอดีตที่พลาดพลั้งฝากทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

บางกอกแอร์เวย์ส (BA) คว้าหุ้นยั่งยืน “ระดับ A” จาก SET ESG Ratings