วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม จากเด็กลอกหนังสือสู่นักผลิตคอนเทนต์
เพราะเชื่อในพลังของข้อมูลข่าวสาร ตุ๊ก-วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม จึงยึดอาชีพ “นักผลิตข้อมูล”
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน
เพราะเชื่อในพลังของข้อมูลข่าวสาร ตุ๊ก-วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม จึงยึดอาชีพ “นักผลิตข้อมูล” มาตลอดชีวิตผ่านสื่อหลายประเภททั้งวิทยุ หนังสือเล่ม นิตยสาร โดยเริ่มจากเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในกองบรรณาธิการ กระทั่งประสบการณ์ทำให้เธอได้รับโอกาสรับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่นำพา “อะเดย์ บูเลติน” (a day BULLETIN) ออกจากฝั่งไปสู่มหาสมุทรสีฟ้ากับตำแหน่งบรรณาธิการบริหารที่ต้องหาทิศทางและจุดหมายปลายทางของการเดินเรือ
เธอเพิ่งทิ้งทวนหน้าที่เดิมมาสู่ตำแหน่ง “บรรณาธิการอำนวยการ” ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับการมาของพายุลูกใหญ่ที่พัดถล่มบริษัทแม่ อะเดย์ โพเอทส์ อย่างรุนแรงและเสียหาย แต่เข็มทิศของอะเดย์ บูเลติน ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
“รู้ตัวว่าชอบงานนิตยสาร เพราะชอบเล่าเรื่อง ชอบสัมภาษณ์คน” วิไลรัตน์เริ่มเล่าถึงเส้นทางในวงการกระดาษ “คนในวงการสื่อทุกคนต่างต้องไล่ตามสื่อใหม่ หรือวิธีการผลิตคอนเทนต์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น แต่เราจะใช้สายตามองหาประเด็นและเลือกที่จะนำเสนออย่างไรนี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญ เพราะเราเชื่อในพลังของการซีเล็คและความครีเอทประเด็นขึ้นมาในกรอบของนิตยสารเพื่อตีแผ่ประเด็นเหล่านั้น”
จากตำแหน่งนักเขียนในกองบรรณาธิการ ขยับตัวขึ้นไปสู่ตำแหน่งรองบรรณาธิการได้ในก้าวเดียว ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากสำหรับคนที่ไม่คิดจะอยู่เฉย ความคิดที่จะก้าวสู่ขั้นต่อไปเธอจึงปักธงชัยไว้ชัดเจนตั้งแต่ค้นพบตัวตน
“เราสามารถเป็นบรรณาธิการ ถ้ามีความตั้งใจเราก็จะพัฒนาตัวเองไปสู่จุดนั้นได้เร็ว ทั้งพัฒนาความรู้ พัฒนาฝีมือการทำงาน พัฒนาทัศนคติ เพื่อพุ่งเป้าไปสู่ตำแหน่งสูงสุดของนิตยสาร ถึงแม้ว่ามันจะเป็นนิตยสารแจกฟรี แต่ถ้าเราเลือกเนื้อหา เลือกคนสัมภาษณ์ และเลือกดีไซน์ มันก็จะเป็นหนังสือที่คนอยากเก็บ สุดท้ายแล้วคุณค่ามันเป็นคนละเรื่องกับมูลค่า แม้บนปกจะเขียนว่าฟรี แต่คุณค่ามีมากกว่านั้น”
ทุกวันนี้คนยังต้องการเสพข้อมูลที่ดีและฟรี ทั้งที่ของฟรีในอินเทอร์เน็ตก็มีมาก แต่ความเร็วในโลกออนไลน์ก็ทำให้ทุกอย่างหายวับไปและไม่สามารถจับต้องได้เช่นกัน
“ต้นทุนของเราคือกระดาษ ดังนั้น การเลือกเรื่องดีไซน์ รูปภาพ ทุกอย่างต้องถูกคัดเลือกมาแล้วทั้งนั้น ต้องผ่านกระบวนการคิดของคนหลายคน ต้องผ่านกระบวนการที่เนี้ยบและต้องทำทุกอย่างให้ผิดพลาดน้อยที่สุด นิตยสารจึงเสมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน แกต้องมีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟังแน่ๆ”
ไม่ว่าอนาคตทิศทางของสื่อจะเป็นอย่างไร วิไลรัตน์ก็ยังอยากผลิตข้อมูล เพราะรักในการเขียน การอ่าน และการสำรวจชีวิตผู้คน ซึ่งอีกบทบาทของอาชีพบรรณาธิการก็คือ นักเขียน อย่างหนังสือเรื่อง Only Time Will Tell ที่ได้รวบรวมบทบรรณาธิการในอะเดย์ บูเลติน ไว้ โดยมีธีมใหญ่เกี่ยวกับเวลา
“พอโตขึ้นๆ เรารู้สึกเรื่องเวลาเป็นเรื่องที่น่าสนใจ คำถามที่เราตั้งในวันนี้เราอาจยังตอบไม่ได้ หรือยังไม่รู้คำถาม เวลาจะบอกเราเอง และใช้ได้กับทุกเรื่อง อย่างย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ทุกคนตั้งคำถามว่าฟรีก๊อบปี้จะทำได้จริงเหรอ วันนี้ก็ตอบได้แล้ว” ผลงานชิ้นก่อนๆ มีทั้งเรื่อง If you Care Enough, Everybody hurts และ Lonely Me, Lonely You
เวลายังพิสูจน์ด้วยว่า เด็กที่ไม่มีเงินจะซื้อหนังสือในวันนั้น สามารถเป็นคนทำหนังสือเป็นร้อยๆ เล่มได้ในวันนี้ ในวัยเด็กว่า เธอเคยยืมหนังสือเพื่อนมาลอกด้วยมือตัวเองทุกคำ เพราะไม่มีเงินแม้แต่จะถ่ายเอกสาร
“ถ้าเราจะเอาชนะ ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้ ตอนเด็กๆ ซื้อกระดาษฟุลสแก๊ปกับปากกามานั่งเขียนเรื่องส่งไปตามสำนักพิมพ์ หรือแปลหนังสือภาษาอังกฤษ โดยเขียนใส่กระดาษแล้วให้เขาไปพิมพ์อีกที หาเงินจากการเขียนมาตลอดจนส่งตัวเองเรียนจบ ดังนั้น ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วมันไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาขวางได้”
ฝันอยากเป็นแล้วได้เป็น และได้เป็นในจุดสูงสุดของสายอาชีพคนทำนิตยสาร บางคนอาจรู้สึกอิ่มตัว แต่สำหรับวิไลรัตน์เธอยังรู้สึกมีไฟที่จะทำต่อไปไม่รู้จบ “อาการหมดไฟจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่ได้ทำอะไรใหม่ๆ เรายังสนุกกับงานที่ยังได้ต้องสื่อสาร สนุกกับการเขียนเล่าเรื่องอยู่เสมอ แต่ช่วงไหนที่เหนื่อยและเนือยมาก ก็แค่พัก ไปเดินทาง ออกจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ บ้าง มันจะเปลี่ยนพลังงานเรา”
ประสบการณ์ชีวิตสอนให้รู้ว่า ความเหนื่อยคือด่านแรกที่ต้องผ่าน ความตั้งใจคือด่านต่อด่านที่ต้องมี และความสุขีคือด่านสุดท้ายที่จะได้รับ ซึ่งจะสุขอย่างเดียวไม่ได้ แต่จำเป็นต้องหาความท้าทายและความรู้สึกใหม่ให้ชีวิตมีเป้าหมายเสมอด้วย


