ธรรมะของคนยุค 4.0 ทำไมต้องอินเทรนด์
ไม่รู้ว่ายุค 4.0 คนไม่ใช้ธรรมะ หรือธรรมะไปไม่เข้าถึงใจคน หรือพระถ่ายทอดน่าเบื่อกันแน่คนจึงไม่ค่อยใช้ธรรมะ
โดย...วรธาร
ไม่รู้ว่ายุค 4.0 คนไม่ใช้ธรรมะ หรือธรรมะไปไม่เข้าถึงใจคน หรือพระถ่ายทอดน่าเบื่อกันแน่คนจึงไม่ค่อยใช้ธรรมะ เห็นได้จากข่าวสารทุกวันนี้ตามสื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียมีแต่เรื่องและคลิปของคนที่ประหัตประหารทำร้ายกันอยู่ทุกวันส่วนใหญ่ขาดสติกัน
เมื่อพิจารณาสังคมที่วิวัฒนาการจากยุคไดอะล็อกมาสู่ยุคดิจิทัลหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปเร็วตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้วิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนสมัยนี้พลอยเปลี่ยนไปด้วย จากสังคมที่ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องแข่งขัน ก็เปลี่ยนมาเป็นใครไวก่อนได้ก่อน อันไหนที่สะดวกสบายก็ฉวยไว้ ถ้ายากหรือใช้เวลามากก็พยายามเลี่ยง เช่น อาหารการกินก็จะไม่มีเวลาทำกินเองส่วนใหญ่ไปซื้อกินข้างหน้า
อาหารทางใจหรือธรรมะก็เช่นกัน ถ้ายากๆ ยาวๆ หรือผู้ถ่ายทอดได้น่าเบื่อและไม่มีอะไรโดดเด่นน่าสนใจคนฟังก็ไม่อยากฟัง หรือพอได้ฟังก็อยากหลับแข่ง ครั้นจะไปว่าคนฟังอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ต้องโทษคนที่ให้ธรรมด้วยที่ไม่สามารถสะกดอารมณ์คนฟังให้อยู่หมัดเอง
นอกจากรู้ธรรมแล้วต้องแอพพลายเก่ง
ราช รามัญ นักเขียนเบสต์เซลเลอร์ เจ้าของผลงาน “โค้ชวิถีพุทธ” ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้และมีความเชี่ยวชาญในการถ่ายทอดธรรมค่อนข้างลึกซึ้ง ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หากพระสงฆ์ยังถ่ายทอดธรรมด้วยรูปแบบเดิมๆ ยิ่งจะผลักคนออกจากวัดเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพระต้องปรับวิธีการนำเสนอแบบใหม่ ถ้าเป็นการเทศน์สิ่งที่เป็นขนบธรรมเนียมก็ควรรักษาไว้ แต่วิธีการเล่าเรื่องจะต้องเปลี่ยนไม่อย่างนั้นไม่มีใครฟังแน่
ราช รามัญ ชี้ให้เห็นว่า ทำไมพระสงฆ์ฝ่ายมหายาน เช่น ติช นัท ฮันห์ หรือองค์ดาไลลามะ ถึงได้รับการยอมรับจากฝรั่งและคนทั่วโลก เพราะว่าการถ่ายทอดธรรมะของพระสงฆ์ฝ่ายมหายานนั้นมีความร่วมสมัย โดยที่ยังรักษาธรรมเนียมไว้แต่ไม่ยึดติดธรรมเนียม แต่เมื่อหันมามองพระสงฆ์ไทยเกือบทั้งนั้นทั้งรักษาและยึดมั่นเลยไปไกลไม่ได้ ไม่สามารถที่จะยืนอยู่บนเวทีระดับโลกเหมือนพระฝ่ายมหายานที่กล่าวมา
“พระสงฆ์เราความรู้เก่งทั้งนั้น แต่ทำไมไม่มีโอกาสไปยืนอยู่ตรงนั้นก็เพราะวิธีสื่อธรรมะออกไปคนไม่เข้าใจและไม่น่าสนใจ ผมอยากเห็นพระรุ่นใหม่เอาแบบอย่างท่าน ว.วชิรเมธี (พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี) ท่านเป็นพระร่วมสมัยไม่ยึดติดคัมภีร์ สิ่งที่ท่านพูดเอามาใช้ได้จริง ความชำนาญการอย่างหนึ่งของท่านคือสามารถเอาภาษาธรรมมาย่อยให้เป็นภาษาโลกได้ค่อนข้างเข้าใจง่าย คนที่ฟังจะเข้าใจทันที
ถ้าพระไม่เปลี่ยนภาษาธรรมเป็นภาษาโลก คนที่ไม่เข้าใจก็จะงงและสับสนได้ อย่างคำว่าสังขารภาษาธรรมหมายถึงการปรุงแต่งแต่ทางโลกแปลว่าร่างกาย หรือคำว่ากรุณาทางโลกใช้ในลักษณะขอร้อง เช่น กรุณาอย่าบีบแตร แต่ทางธรรมแปลว่าความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ท่าน ว.เก่งตรงนี้ สามารถเอาภาษาโลกภาษาธรรมมาแอพพลายแล้วสอนให้คนได้เข้าใจง่าย นี่คือธรรมะที่คนจะยอมรับ”
ราช รามัญ กล่าวต่อว่า ถ้าพระสงฆ์ทำได้อย่างนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนฟัง แล้วธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะไม่อยู่ในตู้พระไตรปิฎกที่วัดอีกต่อไป แต่ถ้าตราบใดพระยังติดพระบาลีแบบเดิมๆ และไม่รู้จักวิธีสร้างสตอรี่ให้น่าสนใจบอกได้เลยคนฟังถ้าหัวพิงเสาเมื่อไรเป็นหลับหมด
ธรรมะสมัยนี้ต้องแบบฟาสต์ฟู้ด
ด้าน พระมหาบุญส่วน ปุญญสิริ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ กล่าวว่า ความที่คนสมัยนี้มีภาระมากมายจนไม่มีเวลาที่จะไปสนใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ เพราะฉะนั้นอะไรที่สั้นๆ ง่ายๆ กะทัดรัด เข้าใจง่าย เช่น หนังสือเล่มหนาๆ เนื้อหายาวๆ ไม่ว่าจะหนังสือธรรมะหรืออะไรก็ตามน้อยคนจะหยิบมาอ่าน คนส่วนใหญ่ต้องการที่คนอื่นย่อยให้แล้วทั้งนั้น
“คนสมัยนี้เหมือนต้องการจะเป็นเด็กตลอดเวลาคือคอยกินอาหารที่ผู้ใหญ่ย่อยให้แล้วไม่อยากจะย่อยเอง เนื่องจากด้วยภาระหน้าที่การงานความเร่งด่วน ดังนั้นจึงชอบกินอาหารแบบประเภทฟาสต์ฟู้ด ธรรมะก็จะเป็นประเภทนี้เหมือนกันคือธรรมะต้องง่ายๆ สั้นๆ กะทัดรัด และเสิร์ฟได้ทันที
อาตมาขอให้ธรรมะสั้นๆ ว่าจงทำใจให้เป็น ถ้าเป็นธรรมะของมหายานจะบอกว่า หิว กิน ง่วง นอนเหนื่อย พัก คือการปฏิบัติธรรม ซึ่งอธิบายง่ายๆ ว่าการปฏิบัติธรรมก็คือเข้าใจชีวิตและดำเนินชีวิตของตนอย่าให้ขัดแย้งกับธรรมชาติแล้วมันจะทำให้เราอยู่กันโดยที่ธรรมชาติไม่ขัดแย้งต่อชีวิต ก็จะทำให้เรามีความสุขได้”
สอนง่ายๆ โดยใช้บุคลาธิษฐานตอบโจทย์
พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ (พระมหาวีรพล วีรญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา และผู้ก่อตั้งเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี กล่าวว่า การถ่ายทอดธรรมะที่น่าจะตอบโจทย์คนในยุค 4.0 ถ้าใช้บุคลาธิษฐานหรือการเอาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นเคสเพื่อมุ่งไปหาธรรมะก็จะทำให้คนเข้าถึงธรรมง่ายขึ้น
“ในห้วงที่ผ่านมาการเทศน์หรือบรรยายธรรมโดยพื้นฐานก็จะมีหลักที่ครูบาอาจารย์ได้วางไว้ก็คือการใช้ธรรมาธิษฐานเป็นหลักอธิบายด้วยหลักธรรมกันเลยก็จะได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ด้วยพื้นฐานความสุขและการฟังธรรมของคนไม่เหมือนกัน ปัจจุบันถึงหนังสือธรรมะที่ดี สื่อสิ่งพิมพ์ที่ดีก็จะไม่สู้บุคลาธิษฐานที่ยกเอาเหตุการณ์ขึ้นมาแล้วสรุปด้วยธรรมสั้นๆ แต่เข้าใจง่าย
ธรรมะทุกวันนี้ต้องเป็นเหมือนอาหารพร้อมเสิร์ฟ โดยไม่ต้องบอกว่าอาหารจานนี้ผสมด้วยพริก แกง ขิง ข่า ตะไคร้เหมือนธรรมาธิษฐาน แต่ต้องเป็นบุคลาธิษฐานที่คนได้ชิมแล้วรู้ว่าในอาหารจานนี้มีอะไรบ้าง มีรสชาติ เผ็ด เปรี้ยว มีความสุขความสบายใจ เช่น กรณีกราบรถกู คนก็จะมองเห็นธรรมะหลายเรื่องหลายมุมทั้งในมุมของคนทำ คนถูกกระทำ หรือแม้แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง เพียงแต่การยกเคสต่างๆ ขึ้นมาให้เห็นนั้นแค่ต้องการให้ย้อนกลับไปหาหลักธรรมให้คนได้รู้จะได้สะท้อนถึงธรรม”
สำหรับธรรมะที่ใช้ในการถ่ายทอดธรรมะให้บุคคลทั่วไปและคนทำงานได้เข้าใจง่ายและไม่รู้สึกเบื่อนั้น พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ กล่าวว่า กลุ่มธรรมะอารมณ์ดีใช้หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ อริยสัจสี่ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ในการจัดการความทุกข์ของคน
“อาตมาจะไม่บอกว่าโยมจะพ้นทุกข์ด้วยอริยสัจสี่นะ แต่เริ่มจากการชวนทุกคนคุยก่อนว่าที่ผ่านมาแต่ละคนทุกข์ไหนมากกว่ากันระหว่างทุกข์กาย ทุกข์ใจ บางคนก็บอกทุกข์ทั้งสองพอๆ กัน จากนั้นพูดถึงความทุกข์ของคนทำงานที่ต้องมีแน่ๆ คือปัญหาเรื่องเงิน ครอบครัว หรือความรัก ปัญหาที่ทำงานเพื่อนพ้องใส่ร้ายป้ายสีเอาเปรียบ และทุกข์เพราะปัญหาสุขภาพ คนฟังก็จะเห็นภาพแล้วอธิบายทุกข์แต่ละเรื่องตามหลักอริยสัจสี่โดยใช้หลักบุคลาธิษฐานหรือยกตัวอย่างให้ทุกคนเห็นภาพ
ยกตัวอย่างทุกข์เรื่องเงิน ก็ต้องถามก่อนว่าวันนี้จนเพราะไม่มีหรือจนเพราะไม่พอ ไม่มีจะกินหรือกินจนไม่มี ก็จะพยายามให้คนฟังเห็นว่าที่พยายามทำให้เกิดทุกข์นั้นเพราะไม่พอหรือไม่มี นี่คือสมุทัย เมื่อรู้สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์แล้วจะพ้นทุกข์เรื่องเงินนี้ได้อย่างไรก็จะชวนมองไปถึงเศรษฐกิจพอเพียง มิใช่มิติเฉพาะปลูกผัก ทำไร่นาสวนผสมหรือเลี้ยงไก่เลี้ยงปลา แต่มิติของคนในชุมชนเมืองเศรษฐกิจพอเพียงในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานไว้แล้วที่หลังธนบัตรแบงก์ 1,000 บาท เศรษฐกิจพอเพียงคืออุ้มชูตัวเองได้ นี่คือมรรค อุ้มชูตัวเองได้ ไม่เดือดร้อน อาตมาก็จะสอนแบบนี้แล้วคนฟังก็เข้าใจ
ถ้าเกี่ยวกับเรื่องเก็บออมเงินเราก็ยกตัวอย่างหนุ่มบุรีรัมย์ที่ทุบกระปุกออมสินเอาเงินให้แม่ 3-4 แสนบาท แล้วค่อยๆ ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนแทรกเข้าไปก็คือ ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร ใช้ชีวิตพอเพียง การจะไปบอกโยมแต่ต้นว่าอยากรวยต้องขยันหา รักษาดี เขาไม่เห็นภาพเราก็ต้องยกบุคลาธิษฐานหรือตัวอย่างให้เห็น และต้องค่อยๆ ขยี้ไปและจะพูดฝ่ายเดียวไม่ได้ต้องวันเวย์ทูเวย์เพื่อให้เห็นว่า สิ่งที่เราพูดนั้นไม่ได้ไกลตัว”
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา กล่าวว่า การใช้ธรรมะ คำคมของครูบาอาจารย์มาใช้ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจและสนใจในการฟังธรรมมากขึ้น เช่น การสร้างพรแก่ชีวิต คำของหลวงพ่อพุทธทาส หรือหลวงพ่อปัญญานันทะที่เป็นอมตะและร่วมสมัย เช่น ทำดีดีกว่าฟ้าประทานพร เทพไม่อุ้มสม พระพรหมไม่บันดาล
“คำเหล่านี้คนไทยคุ้นอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องหาคำใหม่ หรือคำจากพุทธศาสนสุภาษิตที่คนไม่ค่อยคุ้นหู ซึ่งพอไม่คุ้นคนก็ฟังผ่านๆ แต่ถ้าคุ้นหูเขาก็จะคิดตามได้ อย่างคำของหลวงพ่อพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ขยันให้เหงื่อออกตามขุมขนดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจนทะล้นออกทางตา คนฟังได้ยินก็ยิ้มแล้วเพราะนึกภาพเห็นเลย
นี่คือตัวอย่างธรรมะร่วมสมัย เหมาะกับคนยุค 4.0 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นเทคนิค รูปแบบการนำเสนอ และวิธีการของพระสงฆ์ที่ต้องถ่ายทอดออกมาให้น่าสนใจและชวนติดตาม ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ตอบโจทย์คนฟังที่ต้องการอะไรสั้นๆ ไม่เยิ่นเย้อและเข้าใจงาย” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา ทิ้งท้าย


