พรชัย ว่องศรีอุดมพร
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์
โดย...พรเทพ เฮง ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ หยิบยกตัวเลขส่วนแบ่งตลาดของหนังที่ผลิตโดยคนไทยมีสัดส่วนลดน้อยลงจากในปี 2557 หนังไทยมีสัดส่วนในตลาดหนังเพียง 22% และปี 2558 ลดลงมาเหลือเพียง 18% จนปีล่าสุดสัดส่วนเหลือเพียง 13% หรือมูลค่า 565 ล้านบาท และสะท้อนปัญหาต่างๆ เช่น ส่วนแบ่งค่าบัตรชมภาพยนตร์ที่น้อยลง และการนำหนังทางเลือกเข้าโรงฉาย ขณะเดียวกันยังมีตัวแทนจากผู้ชมที่มาสะท้อนปัญหาของการขาดโอกาสชมหนังทางเลือกที่มีคุณภาพหลายๆ เรื่อง และเตรียมยื่นต่อหนังสือข้อเรียกร้องสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ
ในอุตสาหกรรมหนังของไทย หากดูโครงสร้างธุรกิจจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มจาก 1.ธุรกิจผู้ผลิตหนัง 2.ธุรกิจผู้นำเข้าและกระจายหนัง 3.ธุรกิจผู้เผยแพร่หนังผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งทางดีวีดี โทรทัศน์ ไปจนถึงออนไลน์หรือสตรีมมิ่ง และ 4.ธุรกิจโรงหนัง ในภาพของความเป็นจริงเป็นอย่างไร?
มาพูดคุยกับ พรชัย ว่องศรีอุดมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มพิคเจอร์ส ซึ่งถือเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงและทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์แบบครบวงจรมายาวนานกว่า 20 ปี
เขาได้สัมผัสตลาดหนังต่างประเทศที่เข้ามาฉายในไทย ร่วมทำงานกับวงการหนังไทยตอนอยู่อาร์เอส และเป็นหนึ่งในการปลุกฟื้นชีพหนังนอกกระแสหรืออินดี้จากต่างประเทศให้กลับมาเติบโตในตลาดเมืองไทยอีกหน ล่าสุดคือ "your Name" หนังแอนิเมชั่นจากญี่ปุ่นที่ทำเงินไปเกือบ 100 ล้านบาท
มองภาพปัจจุบัน
“ผมว่าทุกอย่างเป็นโอกาส เพราะเราสามารถผลิตงานได้เร็วขึ้นในแง่ของเทคโนโลยีที่มีซัพพอร์ตในการถ่ายทำแบบดิจิทัล ไม่ว่าในการทำโพสต์โปรดักชั่นหรือต้นทุนในการผลิตที่ถูกลง ทำให้สามารถแก้งานได้เยอะมากขึ้น สมัยก่อนเป็นฟิล์มต้องเนี้ยบ” พรชัย เร่มต้นพูดคุย
“ตอนนี้เมืองไทยมีการขยายในเรื่องของโรงภาพยนตร์ค่อนข้างมาก อย่างนาดี ที่อุดรธานี ก็มีโรงหนังเมเจอร์ที่ไปเปิดให้คนดูหนังต่างจังหวัดดูหนังได้เท่าๆ กับคนกรุงเทพฯ ซึ่งอนาคตน่าจะขยายไปเรื่อยๆ ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีที่ไม่ต้องพึ่งฟิล์มอีกต่อไป เพราะต้นทุนที่ต่ำลง ด้วยจำนวนหนังมีเยอะขึ้น ซึ่งตรงนี้ตอบโจทย์ของโรงหนังด้วยที่ต้องการหนังเยอะมากขึ้น แล้วก็ตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยว่า มีการแบ่งแยกย่อยกลุ่มคนดูในแต่ละรสนิยมมากขึ้น หนังบางเรื่องมีคนดูที่ชอบอยู่แค่พันคนสองพันคน แต่บางเรื่องอาจจะเป็นล้านสองล้านคนก็ได้ ซึ่งต้องตอบสนองได้ทุกกลุ่ม”
เมื่อถามถึงเทคโนโลยีที่ทำให้โรงหนังตาย โดยเฉพาะวีอาร์และสตรีมมิ่งที่นอนดูหนังอยู่ที่บ้าน พรชัยมองว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
“เราอาจจะอยู่ตัวคนเดียวได้แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยังไงก็ต้องออกมาเจอเพื่อนเจอฝูงพบปะกัน แล้วที่มองอีกอย่างคือเทคโนโลยีโรงหนังซึ่งตอนนี้มีการพัฒนาไปเยอะมาก มีเครื่องฉายดิจิทัลเป็นแอลดีที่มีความคมชัดค่อนข้างสูง ระบบเสียงโรงหนังดีและสมบูรณ์แบบที่สุด จอใหญ่ และที่้สำคัญคือประสบการณ์ร่วม อย่างเวลาเราดูหนังผีมีคนกลัวไปกับเรา ดูหนังรักก็มีคนซาบซึ้งอินไปกับเรา ดูหนังตลกก็มีคนหัวเราะร่วมกับเรา นี่คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้นอกจากโรงหนัง”
เขาบอกว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไม่ใช่เฉพาะแค่ธุรกิจโรงหนัง อยู่ที่ว่าใครพัฒนาไปอย่างไรมากกว่า ภาพใหญ่แม้เห็นว่ามีแค่สองแบรนด์ เมเจอร์กับเอสเอฟ แต่ถ้าดูภาพย่อยมันก็มีโรงหนังที่ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ เป็นโลคัลแบรนด์ก็มีอยู่เยอะพอสมควร
“ผมมองว่ามันกลับเป็นผลดีถ้าโรงหนังมีการแข่งขันและพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ”
มูลค่าของตลาดหนังเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 10-20% พรชัย บอกว่าไม่มีตกเลย แม้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม
“ผมมองว่าอยู่ที่การขยายตัวของโรงหนังที่เติบโตขึ้น แล้วก็จำนวนหนังที่เพิ่มขึ้น ด้วยทุกวันนี้ต้นทุนที่ต่ำลงในการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะการกระจายฉายไปโดยไม่ต้องพรินต์ก๊อบปี้ ใครที่บอกว่าตั๋วหนังราคาแพง ไม่ใช่แค่เรื่องของโรงหนัง คือทุกอย่างแพงไปทั้งหมด ข้าวแกงจานละสี่สิบถึงห้าสิบบาทแล้ว ค่าแรงก็สามร้อยบาทไปแล้ว ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ ลาวค่าตั๋วหนังวันเสาร์หรืออาทิตย์ ประมาณ 4-5 เหรียญ ต้องประมาณ 140-180 บาท เขมรก็ประมาณนี้ เมืองไทยแพงกว่าหน่อยหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก สำหรับคอหนังจริงๆ ก็มีช่องทางที่จะหาโปรโมชั่นง่ายๆ ได้ ให้ราคาตั๋วถูกลง นักศึกษาก็ราคาถูกในช่วงกลางสัปดาห์”
สำหรับตลาดหนังนอกกระแสจากต่างประเทศที่เข้ามาฉายในเมืองไทย ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วม พรชัยบอกว่าไม่ได้เป็นผู้นำในตลาดตรงนี้
“วันนี้ด้วยเทคโนโลยีออนไลน์ที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น สามารถค้นคว้าได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะต้นทุนที่น้อยลงทำให้การลองของใหม่ในการทำธุรกิจมีคนเข้ามาลองมากขึ้น กล้ามากขึ้น เพราะลองแล้วคนดูชอบ ตลาดหนังนอกกระแสจากต่างประเทศ ผมว่าตลาดอาจจะมีอยู่แล้วมีคนต้องการดูแต่ยังไม่มีใครเอาของมาเสิร์ฟให้เขา มีคนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามอยู่มีการดูหนังหลายประเภทมากขึ้น มีกระแสจากเมืองนอกเข้ามา”
หนังไทยตกต่ำจริงหรือ?
กรณีมีการออกมาเรียกร้องว่าวงการหนังไทยตกต่ำถึงขั้นวิกฤต โดยเฉพาะการไม่มีโรงฉาย ตรงนี้พรชัย มองว่าบางครั้งก็เกิดความเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง
“เพระาถ้าทำธุรกิจหนังเต็มตัวและต่อเนื่องจริงๆ จะเข้าใจทั้งลูปของมันว่าไม่มีใครทำหนังเรื่องเดียวแล้วรวยหรือได้ตลอด ถ้าทำหนังทุกปี ปีละเรื่องแล้วได้เงินทุกปี ทุกคนคงจะรวยไปหมดแล้ว ถ้าเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้แล้วจะเห็นภาพรวมซึ่งจะมีทั้งหนังคุณภาพและไม่มีคุณภาพบ้างแต่ตลาดต้องการ ต้องมองตำแหน่งและการตลาดของผลิตภัณฑ์ว่าอยู่ตรงไหน
“ถ้าอยากให้หนังมีคนล้านคนดูต้องทำหนังที่นำไปสู่ตรงนั้น ไม่ใช่ไปทำหนังที่เสิร์ฟกลุ่มคนที่มีเพียงร้อยสองร้อยคนดู ซึ่งผิดตั้งแต่เริ่มต้นคิดแล้ว แล้วก็คิดเพียงอย่างเดียวว่าจะทำหนัง โดยลืมไปว่ามีขั้นตอนของการตลาด การโปรโมท การจัดจำหน่าย ซึ่งคนพวกนี้ก็จะมีความคิดแตกต่างกับฝั่งคอนเทนต์ โปรดักชั่น ถ้ามีการพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเสริมกันและกัน ซึ่งก็จะเกิดสิ่งใหม่ๆ ที่จะพัฒนาหนังไทยไปได้เรื่อยๆ เอ็ม พิคเจอร์สยินดีที่จะอ้าแขนเปิดรับที่จะจัดจำหน่ายให้หนังทั่วไป ซึ่งจะเป็นความร่วมมือกันและเป็นการลงทุนอย่างเข้าใจในผลิตภัณฑ์ว่าจะต้องลงทุนเท่าไหร่ เพื่อควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่โอเคกับมัน”
ตลาดหนังไทย พรชัย ชี้ว่ากลุ่มเมเจอร์เองพยายามมองนอกกรอบออกไปว่าทำไมหนังต่างประเทศทำไมมีหลายแบบหลายรสชาติ แต่ทำไมหนังไทยมีรสชาติเดียว
“จริงๆ ผมว่ามันก็ตอบโจทย์ของคนไทยที่ชอบแห่ตามกัน เวลามะม่วงราคาดีก็แห่กันไปปลูก ยางหรือส้มราคาดีก็แห่กันไปปลูก เหมือนธุรกิจหนัง พอหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ได้เงินหรือดี คนก็แห่กันไปสร้างแนวนี้ จนพังไปอย่างหนึ่ง พอสักพักหนังผีได้เงินก็ไปทำหนังผี แต่ตอนนี้ผมว่าหนังทุกประเภทสามารถได้เงินหมด เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้คนดูเขาพอใจในสิ่งที่อย่างดู คือตอบโจทย์คนดูแต่ไม่ใช่ตอบโจทย์คนทำหนัง คุณต้องหาตลาดของคุณให้เจอเสียก่อน แล้วคุณก็จะเจอกุญแจที่เปิดประตูไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งมีไม่กี่คนที่ทำได้ หนังเล็กๆ ที่เป็นแมส มันก็มีวิธีของมันที่ทำแล้วมีกำไร แต่คุณต้องฉลาดพอที่จะทำให้ไปสู่จุดนั้น
“ตอนนี้ทางเอ็ม พิคเจอร์สก็มีการพัฒนาในกระบวนการผลิตหรือการคิดใหม่หมดขึ้นมาที่สามารถตอบสนองการตลาดและคนดูได้มากขึ้น แทนที่จะเป็นความคิดของผู้กำกับหรือโปรดิวเซอร์เพียงคนเดียว เรามีการทำรีเสิร์ชเพื่อดูความต้องการเบื้องต้นก่อนว่าคนดูชอบแบบไหน ซึ่งผ่านกระบวนการคิดและรีเสิร์ชจนมั่นใจมาระดับหนึ่ง”
ส่วนหนังไทยที่ไปบุกในตลาดต่างประเทศ จากประสบการณ์ตรงเขามองว่ามีโอกาสเยอะ
“ตัวเอ็ม พิคเจอร์สเอง เราทำตัวเป็นคนจัดจำหน่ายในทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะไทย ลาว เมียนมา เวียดนาม และกัมพูชา หนังไทยทุกเรื่องเราฉายพร้อมกันกับที่ลาว ซึ่งรายได้ค่อนข้างดี ที่กัมพูชาก็พยายามขยับให้เร็วขึ้นใกล้ๆ กับฉายเมืองไทย พยายามขยับให้เป็นตลาดเดียวกัน หนังไทยก็ขายได้หมดทุกประเทศในอาเซียนทุกประเทศ ซึ่งก็เริ่มมา 4-5 ปีแล้ว เริ่มแข็งแรงและเป็นสายพานที่ต่อเนื่อง เพราะถ้าไม่ต่อเนื่องกว่าจะสร้างตลาดขึ้นมาใหม่นั้นยากมาก ต้องป้อนตลาดแถบนี้ให้ต่อเนื่อง”
อนาคตวงการหนังไทย
“ก็อยู่ที่ใครมอง ถ้าเห็นโอกาสก็คือช่องทางที่จะไป แต่คนที่มองไม่เห็นโอกาสก็ไม่มีอยู่แล้ว แผนงานของเราในอนาคตอันใกล้ เราคงทำให้เอ็มพิคเจอร์ส เป็นบริษัทที่ซัพพอร์ตในเรื่องของการจัดจำหน่ายและทำการตลาด แล้วเปิดกว้างกับทุกสตูดิโอไม่ว่าอยู่ในกลุ่มหรือนอกกลุ่ม พร้อมรับการลงทุนกับใครที่มีโปรเจกต์ดีๆ และพยายามขยายช่องทางไปจัดจำหน่ายในต่างประเทศให้มากขึ้น ตอนนี้มีที่ลาว กัมพูชา ต่อไปก็จะไปที่เวียดนาม เมียนมา และมาเลเซีย ทำให้แข็งแรงและทำตัวเป็นสะพานเชื่อมกันในอาเซียนให้ตลาดหนังไทยวิ่งไปง่ายขึ้น ให้คนทำหนังตั้งใจที่จะทำหนังของตัวเองแล้วผมจะหิ้วไปเอาเงินกลับมาให้” พรชัย ขยายภาพอนาคตให้เห็น
“วันนี้เราต้องเข้าใจตลาดหนังในแต่ละประเทศ ถ้าจะไปในตลาดอเมริกาเราจะไปเพื่ออะไร เพื่อหาเงินใช่ไหม ไปอย่างนั้นยากมาก แม้แต่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นที่แข็งแรงอยู่แล้ว ก็เจาะไม่ได้ เพราะตลาดคนดูอเมริกานั้นชาตินิยมสุดๆ ดูแต่ของตัวเอง ในสายรางวัลออสการ์เราก็มีโอกาสมาตลอด แต่วันนี้เราต้องมุ่งเป้าให้ชัดเสียก่อน ทำไปทีละขั้น ต้องดูแลคนรอบข้างให้ดีก่อน ทำตลาดในเมืองไทยให้แข็งก่อน แล้วจึงออกไปตามหาฝัน วันนี้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่มีอยู่ก่อน
“ผมไม่ได้น้อยใจรัฐบาลที่ไม่สนับสนุนวงการหนังไทยเท่าที่ควร แต่ผมน้อยใจคนในวงการหนังด้วยกัน คนในรัฐบาลไม่เข้าใจในธุรกิจหนังไม่ผิด แต่คนในวงการหนังถ้าพูดถึงเป้าหมายใหญ่ๆ ก็ควรมองเห็นเป้าหมายเดียวกันก่อนว่า ปัญหาหลักๆ ที่หนังไทยล้มลุกคลุกคลานตลอดเวลาเกิดจากปัญหาอะไร หลักๆ ก็คือตั้งแต่ทีมงานผลิต คนคิดคอนเทนต์ ไปจนถึงผู้กำกับฯ และโปรดิวเซอร์ ไปจนถึงการทำการตลาดและจัดจำหน่าย คือทุกกระบวนการมีความสำคัญหมดและต้องมีมืออาชีพ บ้านเราขาดความเข้าใจในเรื่องภาพรวมของธุรกิจหนังทั้งหมด วงการหนังไทยก็เลยไปไม่ถึงไหนสักที อย่างสถาบันการศึกษาในประเทศไทยก็ไม่มีการสอนเรื่องธุรกิจหนัง ทุกคนอยากเป็นศิลปินคนทำหนังกันหมด แต่ก็ไม่ผิด พอออกมาก็ทำธุรกิจไม่เป็น ต้องมีการศึกษาตลาดด้วย เพราะทุกอย่างมีต้นทุนหมด”
สุดท้าย พรชัยฝากไปถึงวงการหนังไทยว่า
“อยากให้ทุกคนมาช่วยกัน อย่าหยุดพัฒนาวงการหนังไทย”
..............
....โปรย 1...........
"บ้านเราขาดความเข้าใจในเรื่องภาพรวมของธุรกิจหนังทั้งหมด วงการหนังไทยก็เลยไปไม่ถึงไหนสักที"
....โปรย 2...........
"คือตอบโจทย์คนดูแต่ไม่ใช่ตอบโจทย์คนทำหนัง คุณต้องหาตลาดของคุณให้เจอเสียก่อน แล้วคุณก็จะเจอกุญแจที่เปิดประตูไปสู่ความสำเร็จ"


