ป้อมพระสุเมรุ
“กำแพงมีหูประตูมีตา” หมายถึง การพูดหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง เพราะแม้จะดูเสมือนว่าปกปิดมิดชิด
โดย...โสภิตา สว่างเลิศกุล ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์
“กำแพงมีหูประตูมีตา” หมายถึง การพูดหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง เพราะแม้จะดูเสมือนว่าปกปิดมิดชิด คือ อยู่ในกำแพงหรือปิดประตูแล้ว ก็ยังอาจมีคนล่วงรู้ได้
สำนวนไทยสำนวนนี้สะท้อนภาพถึงพระนครหลวง หรือเมืองยุคโบราณ โดยเฉพาะกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีป้อมและกำแพงเมืองโดยรอบเพื่อสอดส่องและป้องกันภัยจากอริราชศัตรูได้ดีไม่น้อย
ป้อมและกำแพงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์เริ่มก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พ.ศ. 2326 ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์ลาวเมืองเวียงจันทน์ 5,000 คน และมีตราให้หาผู้ว่าราชการหัวเมืองตลอดจนหัวเมืองลาวริมแม่น้ำโขงฟากตะวันตกเข้ามาพร้อมกัน แล้วแบ่งปันหน้าที่กันทั้งข้าราชการในกรุงและหัวเมือง ให้ช่วยคุมไพร่ขุดรากก่อกำแพงรอบพระนคร พร้อมกับสร้างป้อมไว้ เป็นระยะห่างกัน 10 เส้นบ้าง ไม่ถึง 10 เส้นบ้าง ตามแนวคลองรอบกรุง
ป้อมรอบกำแพงเมืองในสมัยรัชกาลที่ 1 มีทั้งหมด 14 ป้อม ซึ่งอาจเทียบกับสถานที่ตั้งในปัจจุบันได้ดังนี้
- ป้อมพระสุเมรุ ตั้งอยู่ที่มุมกำแพงพระนครด้านตะวันตกส่วนเหนือ ทางใต้ของปากคลองบางลำพู
- ป้อมยุคนธร อยู่เหนือวัดบวรนิเวศวิหาร
- ป้อมมหาปราบ อยู่ระหว่างสะพานผ่านฟ้าลีลาศกับสะพานเฉลิมวันชาติ
- ป้อมมหากาฬ อยู่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
- ป้อมหมูทะลวง อยู่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมประชากร
- ป้อมเสือทะยาน อยู่เหนือประตูสามยอด สะพานดำรงสถิต
- ป้อมมหาไชย อยู่ตรงบริเวณที่ตั้งธนาคารไทยทนุ ถนนมหาไชย
- ป้อมจักรเพชร อยู่เหนือปากคลองโอ่งอ่าง ใกล้ถนนจักรเพชร
- ป้อมผีเสื้อ อยู่ใต้ปากคลองตลาด
- ป้อมมหาฤกษ์ อยู่ตรงโรงเรียนราชินีล่าง ตรงข้ามป้อมวิไชยประสิทธิ์ ธนบุรี
- ป้อมมหายักษ์ อยู่ตรงกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
- ป้อมพระจันทร์ อยู่ทางด้านตะวันตกของท่าพระจันทร์
- ป้อมพระอาทิตย์ อยู่สุดถนนพระอาทิตย์
- ป้อมอิสินธร อยู่ระหว่างป้อมพระอาทิตย์และป้อมพระสุเมรุ
บริเวณระหว่างป้อมกับกำแพงพระนครมีประตูเมือง แบ่งตามลักษณะได้ 2 ประเภท คือ ประตูยอด และประตูช่องกุด ประตูยอดในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นประตูยอดมณฑปเครื่องไม้ ทาสีดินแดง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงเปลี่ยนเป็นประตูหอรบ
ป้อมที่ยังเหลืออยู่และมีความสมบูรณ์มากที่สุดป้อมหนึ่ง ก็คือ ป้อมพระสุเมรุ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณหัวโค้งถนนพระอาทิตย์ทางไปบางลำพู ตรงสวนสันติชัยปราการ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม ป้อมพระสุเมรุ เป็นป้อมก่ออิฐถือปูน ทรงแปดเหลี่ยม หันหน้าออกริมคลองบางลำพู รากฐานของป้อมและกำแพงเป็นฐานแผ่อยู่ต่ำกว่าระดับผิวดิน 2 เมตร วัดจากด้านเหนือไปใต้กว้าง 45 เมตร สูงจากพื้นดินถึงยอดใบเสมาบนป้อม 10.50 เมตร และจากพื้นป้อมชั้นบนถึงหลังคาหอรบ 18.90 เมตร ลักษณะเป็นป้อม 3 ชั้น มีบันไดขึ้นป้อมจากด้านในกำแพงจำนวน 3 บันได มีเชิงเทินและแผงบังปืน
ป้อมชั้นล่างแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยมีกำแพงใบเสมาชนิดปลายแหลมกั้นระหว่างผนังป้อมชั้นล่างและชั้นบน มีประตูออกไปสู่ส่วนหน้าของป้อม ส่วนหน้าของป้อมชั้นล่างนี้ กำแพงมีใบเสมาชนิดเหลี่ยมขนาดใหญ่ แต่ละเสมาเจาะช่องตีนกาหรือกากบาทเล็กๆ หลายช่อง ป้อมชั้นที่สองมีบันไดทางขึ้นอยู่ทางส่วนหลังของป้อม 1 บันได (16 ขั้น) กำแพงของป้อมชั้นที่สองนี้มีใบเสมาชนิดปลายแหลม ต่ำจากใบเสมาลงมาเจาะเป็นช่องโค้งปลายแหลม (Pointed Arch) ด้านละ 4 ช่อง และยังมีช่องตีนกาเล็กๆ เรียงสับระหว่างกันอีก 3 แถว
ตรงกลางป้อมก่อผนังแบ่งเป็นห้องๆ รวม 38 ห้อง เพื่อเก็บกระสุนดินดำและอาวุธ ส่วนหอรบรูปเจ็ดเหลี่ยมและหลังคาป้อมได้พังทลายไประหว่างรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ในปี 2524 กรมศิลปากรจึงได้บูรณะขึ้นใหม่เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี โดยอาศัยรูปถ่ายของเดิมครั้งรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนป้อมพระสุเมรุพร้อมด้วยปราการเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 66 ตอนที่ 64 วันที่ 22 พ.ย. 2492
แน่นอน ป้อมพระสุเมรุที่โดดเด่นเป็นสง่าบนถนนพระอาทิตย์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แค่ผ่านตาก็เห็นได้ถึงความอลังการสง่างามและเข้มแข็ง แม้มีการบูรณะและขุดค้นทางโบราณคดีและศึกษาทางประวัติศาสตร์มาพอสมควรแล้ว แต่ที่นี่ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย ในฐานะป้อมค่ายทางการเมืองและทหารของกรุงรัตนโกสินทร์ที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้สัมผัสถึงอดีตอันไกลโพ้นกว่าสองร้อยปี


