เกรียนการศึกษา ปฏิรูปต้องฟังเสียงเด็ก
เด็กหนุ่มที่สนใจเรื่องปฏิรูปการศึกษาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยม เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ เขาตั้งเพจในเฟซบุ๊ก
โดย...วิรวินท์ ศรีโหมด
เด็กหนุ่มที่สนใจเรื่องปฏิรูปการศึกษาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยม เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ เขาตั้งเพจในเฟซบุ๊ก ชื่อ "เกรียนการศึกษา" เมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันมีผู้ติดตามเกือบ 4 หมื่นคน นำเสนอเรื่องราวอินโฟกราฟฟิก มุมมองคนรุ่นใหม่ที่มีต่อระบบการศึกษาไทย การทำให้ห้องเรียน ครู เด็กนักเรียน มีชีวิตอย่างแท้จริง น่าเรียน น่ารู้ เขายังร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเครือข่ายเพจอื่นๆ อาทิ บ้านเรียน การศึกษาเพื่อความเป็นไทย เคลื่อนไหวนำเสนอเรื่องราวเพื่อนำไปปฏิรูปการเรียนการสอนที่มีพลังของเสียงเด็กร่วมอยู่ด้วย
เปรมปพัทธ หรือ "ฟิล์ม" อายุ 22 ปี เรียนจบจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี และเพิ่งศึกษาจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ไม่เฉพาะเรื่องการศึกษาเท่านั้น ทว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ยังชื่นชอบทำหนังสั้นมาตั้งแต่เป็นเด็ก จากครอบครัวที่คลุกคลีอยู่ในวงการงานเขียนและภาพยนตร์
ฟิล์มบอกกับเราถึงการทำเพจเกรียนการศึกษาที่เริ่มมาเมื่อหลายปีก่อนว่า จุดเริ่มต้นทำขึ้นเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กนำสิ่งที่เพจเสนอไปต่อยอด แต่หลังจากทำได้ 1-2 ปี พบว่ากลุ่มผู้ติดตามกว่า 75% คือกลุ่มครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนขนาดเล็กที่กระจายตัวอยู่ต่างจังหวัด ทำให้มีความหวังว่าเมื่อครูกลุ่มนี้ใกล้ชิดกับนักเรียน จึงอยากทำเครื่องมือให้ครูเหล่านี้นำกราฟฟิกที่เผยแพร่ไปดัดแปลงใช้สอน ส่วนประเด็นที่เลือกมาทำ นำมาจากสิ่งที่ท้าทายบางอย่างในสังคม
อย่ายึดใบเกรด คะแนนความประพฤติ
เขาเล่าว่า เวลาที่คนจำนวนหนึ่งอยากช่วยคิดหาทางออกระบบการศึกษาไทย มักรู้สึกว่าเสมือนการทำความดีอะไรบางอย่าง เช่น การเสียสละ ตรงนี้จึงเป็นโอกาสที่ทำให้หลายคนอยากทำความดีด้วยวิธีง่ายๆ มาทำเรื่องนี้กันมาก เห็นได้จากที่ผ่านมามีความพยายามปฏิรูประบบการศึกษาอยู่ตลอด แต่ความคิดส่วนตัวมองว่าการปฏิรูปการศึกษาขาด 2 อย่าง คือ ตัวผู้เรียนและมิติดิจิทัล เพราะเมื่อพูดถึงผู้เรียนสิ่งที่เห็นชัดที่สุด มักจะไม่พบว่าในกระบวนการปฏิรูประบบการศึกษาที่เป็นเรื่องของเด็ก แต่กลับไม่มีเสียงเด็กเข้าไปร่วมพูดคุยในวงปฏิรูปอย่างแท้จริง มีเพียงเสียงจากผู้ใหญ่ หรือหากมีเสียงเด็กก็มักเป็นเสียงเด็กปลอมๆ ที่เข้าไป
ทั้งนี้จากรายงานที่ทำการศึกษาพบว่าองค์กรเยาวชนจำนวนมากที่ทำงานเรื่องเด็กมากว่า 40 ปี กลับไม่มีเด็กเยาวชนภายในองค์กรเลย เพราะองค์กรเหล่านั้นทำงานแบบผู้ใหญ่คิดจินตนาการภาพเด็ก นี่จึงเป็นอีกปัญหา
นอกจากนี้ องค์กรเด็กเยาวชนในประเทศไทย เช่น สภาเด็กหลายแห่ง เครือข่ายยุวทัศน์ มักไม่ได้พูดถึงมิติมุมมองของเยาวชน เช่น การต่อต้านระบบโซตัส รณรงค์ไม่รับน้อง รณรงค์เสรีภาพเด็ก แต่กลับเน้นห้ามเด็กสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นการนำนโยบายรัฐมาสั่งสอนทั้งนั้น
"สิ่งที่สภาเด็กไทยทำคือเพื่อนเยาวชนด้วยกัน และหากมองเชิงโครงสร้างก็ยิ่งพบว่าเมื่
อมีปฏิรูประบบการศึกษา ส่วนใหญ่มักจัดงานที่ไม่สามารถทำให้เด็กเข้าร่วมวงพูดคุยได้ เช่น เลือกจัดวันธรรมดาตามสถานที่ราชการ หรือหากสามารถเข้าร่วมได้ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เด็กอยากพูดคุยกับเพื่อน ฉะนั้นเรื่องนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องควรเข้าใจเด็กที่เป็นผู้เล่นของระบบอย่างแท้จริง ไม่ใช่ครู ผู้ปกครอง หรือโรงเรียน"
ฟิล์ม บอกว่า ต่อให้มีการปฏิรูปกี่ครั้ง แต่ถ้าถูกปฏิรูปโดยคนที่ไม่เข้าใจ และพยายามกีดกันคนที่เข้าใจออก เหมือนเช่น เรื่องประชาธิปไตย ที่มักพูดว่าเป็นของประชาชนเพื่อประชาชน แต่โดยใครก็ได้ที่ไม่ใช่ประชาชน สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแน่ เช่นเดียวกับเรื่องการศึกษา
ฟิล์มยังมองว่าระบบประเมินความรู้ทางศึกษา เช่น การยึดใบคะแนนเกรด คะแนนความประพฤติ จะสามารถนำมาตัดสินผู้เรียนได้ตรงตามจริงหรือไม่ แต่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมี สิ่งที่ควรเน้นคือเด็กจะมีทัศนคติต่อการใช้ชีวิตอย่างไร รู้สิทธิร่างกาย หรือตระหนักเรื่องอนาคตมากน้อยเพียงใด เพราะเรื่องเหล่านี้ข้อมูลพื้นฐานทางการศึกษาไม่สามารถนำมาประเมินวัดผลได้
นอกจากนี้ ระบบการศึกษาไทยควรมีวัฒนธรรมแบบเปิด ไม่ใช่อยู่ในวัฒนธรรมที่ปิดเช่นนี้ ส่วนตัวมองว่าการมีกรอบอาจไม่ผิด แต่ข้อตกลงเรื่องกรอบนั้นผิด เช่น ในห้องเรียนมีเด็กที่เป็นปลา เป็นลิง เป็นหมา หรือเป็นแมว ซึ่งการที่จะสอนให้ปลาปีนต้นไม้ มันมีปัญหาพอสมควร แต่ถ้าปลาเกิดอยากปีนต้นไม้ หน้าที่ของครู คือฝึกให้ปลาปีนต้นให้ได้ และเมื่อปลาจะรู้ว่าวันหนึ่งอาจจะล้มเหลว ก็อาจหันไปเลือกทางอื่น แต่ปลาก็อาจทำสำเร็จได้
"ฉะนั้น ถ้าเรามองว่าคุณเป็นปลา คุณปีนต้นไม้ไม่ได้หรอก คุณเป็นเด็กหลังห้อง ไม่มีวันที่จะเป็นหมอได้ คำนี้จึงเป็นปัญหาพอสมควร ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในปัญหาทางการศึกษาที่เข้าขั้นวิกฤต ถ้ายังออกแบบระบบการศึกษาที่ไม่เข้าใจผู้บริโภค หรือเยาวชนผู้เรียน มันจะแย่ เช่น กรณีรณรงค์เลิกเหล้า หากไม่เข้าใจพฤติกรรมของคนที่ติดเหล้า และมองว่าเขาเป็นศัตรู ก็จะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นแนวคิดที่ผู้ใหญ่โดยมากมีต่อเด็ก"
ขณะที่รูปแบบการเรียนการสอนในไทย ฟิล์มมองว่าเป็นเรื่องของวัฒนธรรมและเราโตมาในบ้านที่ไม่ได้พูดถึงวัฒนธรรมประชาธิปไตย เช่น พ่อแม่ตีลูกโดยไม่พยายามหาวิธีจัดการแบบอื่น หรือโตขึ้นมาผ่านโรงเรียนที่ทำโทษยกชั้น เพราะคนทำผิดเพียงคนเดียว และการไปเข้าค่ายลูกเสือ ซึ่งเยาวชนไทยโตผ่านวัฒนธรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เราจึงมีรัฐประหารอยู่เรื่อยๆ และท้ายที่สุดหากสังเกตดีๆ ฝ่ายความมั่นคงที่ครองอำนาจ ทำงานกับเรื่องวัฒนธรรมเยอะมาก จึงทำให้การศึกษาบางครั้งไม่มีการพัฒนา แม้ประเทศจะมีจำนวนเด็กเก่งมาก ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องระบบที่ชวนให้อึดอัดสำหรับคนรุ่นใหม่
ครูผู้สอนต้องก้าวพ้นจากกรอบเดิมๆ
ฟิล์มยังได้ยกผลการศึกษาที่ได้รวบรวมมาเองจากแหล่งต่างๆ ถึงวิธีการก้าวหลุดพ้นจากกรอบเดิมๆ เพื่อให้ทันเทคโนโลยียุคดิจิทัลของครูผู้สอน คือ 1.บุคลากรในระบบเก่าต้องเรียนรู้พัฒนาทักษะใหม่ต่อยอดจากทักษะเดิม (Re-skills) เพื่อให้รู้เท่าทันวิวัฒนาการเทคโนโลยีที่ทันสมัยอยู่ตลอด 2.คนในสังคมต้องเรียนรู้ลักษณะที่สามารถนำไปต่อยอด (Capacity Building) แก้ปัญหาเชิงระบบได้ รวมถึงทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและเข้าใจปัญหา เพราะอีก 20 ปีข้างหน้าการศึกษาตอนนี้ที่สอนอยู่คงเป็นเรื่องเก่า 3.ทำให้คนพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง 4.ทำให้คนสามารถเติบโตตามยุคสมัยได้ และ 5.ทำให้คนของเราตัดสินใจได้ในภาวะที่มีข้อมูลล้นเกิน
ส่วนความเป็นไปได้จากการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีมี 5 เรื่อง คือ 1.ส่งเสริมวิธีคิดการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Growth Mindset) 2.ทำคนในสังคมทั้งครู ผู้ปกครอง และอื่นๆ ต้องให้เหตุผลอย่างสร้างสรรค์กับเด็ก (Constructive Feedback) เพื่อให้เด็กมีพัฒนาตอบกลับมาอย่างสร้างสรรค์เช่นกัน 3.ส่งเสริมการเรียนรู้และอยู่ร่วมกันจากประโยชน์ดิจิทัล (Digital Life Skills & Digital Literacy)
4.สร้างชุมชนที่แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง (Creative & Maker Community) 5.เข้าใจสถานการณ์อำนาจของพลเมืองในยุคดิจิทัล ที่จะไม่อยู่แต่เพียงหน้าจออีกต่อไป แต่จะมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในระบบอีกมาก ซึ่งหลักการเหล่านี้ผู้ที่ทำเรื่องการศึกษาควรเข้าใจ
ดังนั้นรัฐบาล หรือผู้ควบคุมระบบควรเข้าใจเรื่องดิจิทัล เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มีพื้นที่ ซึ่งการปฏิรูประบบการศึกษาอย่างเป็นประชาธิปไตย ควรฟังเสียงของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฟังแต่เสียงของคนกลุ่มเดิมๆ เพราะต่อให้ประเทศไทยเป็นเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ แต่เรื่องการศึกษาควรละเว้นไว้ เพื่อให้ชาติมีอนาคต ดังนั้นควรปฏิรูปการศึกษาเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ปฏิรูปการศึกษาเพื่องบประมาณ
ฟิล์ม สรุปว่าหากเป็นเช่นนี้ได้เชื่อว่าในยุคที่ประเทศไทยกำลังจะเป็นระเบียงเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างจีน อินเดีย สหรัฐ แทนสิงคโปร์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าที่ชนชั้นกลางของไทยจะมีกำลังซื้อที่สูงมาก ฉะนั้นดิจิทัลเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลและผู้ใช้ระบบควรเข้าใจวัฒนธรรมดิจิทัลไปพร้อมกับเชื่อมั่นในเสียงของคนรุ่นใหม่ และหากทำได้เชื่อว่าการศึกษาไทยจะพร้อมเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0
"ผู้มีอำนาจหรือรัฐบาล เรื่องการปฏิรูปการศึกษาควรให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ใช่ทำเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่หน้าเดิม ก็จะได้แต่แนวคิดเดิม แต่เด็กเองก็ต้องมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ยึดแต่หลักการเดิมๆ ตามที่สังคมสอนมา" ฟิล์ม กล่าว
นอกจากเรื่องการศึกษาแล้ว ฟิล์มยังสนใจเรื่องการทำหนังสั้นมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยตามงานประกวดภาพยนตร์มาอย่างต่อเนื่อง โดยรวมตัวกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่สนใจทำหนังสั้น ตั้งกลุ่มเยาวชนคนทำหนังรุ่นใหม่ในนามเครือข่าย Young Filmmakers of Thailand เมื่อ 8 ปีที่แล้วขึ้นมา จากวันนั้นถึงวันนี้สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ให้สังคมจนได้รับรางวัลในหลายๆ เวที รวมถึงได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ที่สนใจทำภาพยนตร์ผ่านการไปเป็นวิทยากรเวิร์กช็อปทั่วประเทศ
เริ่มจากความชอบสู่ความสำเร็จ
หลังจากฟิล์มเรียนจบภาควิชาภาพยนตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เดินตามความฝันโดยนำความรู้ความสนใจที่มีด้วยการเปิดบริษัทรับผลิตสื่อภาพยนตร์โฆษณา งานกราฟฟิก
เปรมปพัทธ เล่าจุดเริ่มต้นว่าเหตุที่สนใจเรื่องภาพยนตร์ เพราะคุณพ่อเป็นนักวิจารณ์หนัง แต่คิดว่าพ่ออาจอยากเป็นผู้กำกับมานาน ทำให้ได้มีโอกาสดูหนังจำนวนมากมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะหนังประหลาดๆ ที่เชื่อว่าเป็นการซึมซับ ทำให้ชอบและหลงใหลในเสน่ห์ของหนังประเภทต่างๆ
จากนั้นเมื่อโตขึ้นมาได้เริ่มทดลองทำหนังเรื่องแรกกับน้องชาย ชื่อ "ก้อเหมือนเดิม (2006)" ที่ทำเองและเล่นโดยน้องชาย เนื้อหาเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่อยากไปทะเล แต่สุดท้ายไม่ได้ไป เพราะมีอุปสรรคภายในครอบครัวหลายอย่างมาเป็นตัวเล่าเรื่อง ซึ่งเมื่อได้ลองทำก็รู้สึกสนุก จึงทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
"หลักแนวคิดการทำงานหนัง ยอมรับว่าไม่ได้เรียนโดยตรงมาทางด้านนี้ แต่ได้ลองเรียนรู้จากอุปกรณ์ที่มี ทดลองทำเรื่อยมา เชื่อว่าเมื่อรู้สึกอินกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งและอยากที่จะเล่าเรื่อง ก็จะหาทุกวิธีทางทำให้เล่าเรื่องนั้นออกมาได้ โดยที่อาจไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องมันเป็นอย่างไร ซึ่งผมคิดว่ามันก็ดี เพราะถ้ารู้ว่าทฤษฎีที่ถูกต้องเป็นยังไง ตอนนี้อาจเลิกทำหนังไปแล้ว"
ฟิล์ม เล่าว่า ช่วงเริ่มต้นของการทำหนังสั้นยากพอสมควร เพราะต้องเผชิญกับกลุ่มอำนาจเก่าในวงการหนัง ที่เขาคิดว่าเราจะไปแบ่งเค้ก ดังนั้นเมื่อคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมการต่อรองมาตั้งแต่แรก คิดแต่ว่าคุณเพิ่งตั้ง คุณเด็กกว่าต้องมาตามขั้นตอนจึงเป็นเรื่องลำบาก แต่ถึงอย่างไรในอนาคตการทำหนังหากไม่มองในภาคธุรกิจ จะพยายามทำเพื่อเป็นงานอดิเรก เพราะหนังในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง
"ผมอยากทำเฉพาะเรื่องที่อยากเล่า แต่ตอนนี้ก็ยังทำงานด้านโฆษณากราฟฟิกเป็นหลักอีกทาง และยังอยากสนับสนุนเรื่องวิจารณ์หนังและโรงฉายให้มีมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าสถานการณ์หนังในบ้านเราสิ่งที่ขาดแคลนคือ โรงฉายและนักวิจารณ์หนัง เพราะกลุ่มทุนทั้งหลายให้การสนับสนุนการทำหนังมากกว่า" ฟิล์ม กล่าวทิ้งท้าย


