นักรบมาตุภูมิเขียนประวัติศาสตร์ ‘ชาวเหมืองแดง’ ตั้งค่ายเฝ้าแผ่นดินเกิด
นับเป็น “ปรากฏการณ์” ที่ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ สำหรับการลุกขึ้นสู้ของชาวบ้านชุมชนเหมืองแดง ต.แม่สาย จ.เชียงราย ในนามกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแม่สายบ้านเหมืองแดง ซึ่งเป็นฉันทามติร่วมของคนจากทั้ง 4 ชุมชน
นับเป็น “ปรากฏการณ์” ที่ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ สำหรับการลุกขึ้นสู้ของชาวบ้านชุมชนเหมืองแดง ต.แม่สาย จ.เชียงราย ในนามกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแม่สายบ้านเหมืองแดง ซึ่งเป็นฉันทามติร่วมของคนจากทั้ง 4 ชุมชน
แน่นอนว่าการต่อสู้ของชาวบ้านในฐานะราษฎรเต็มขั้นจำเป็นต้องยืนระยะ ยิ่งเมื่อคู่ขัดแย้งกุมอำนาจรัฐและกลไกท้องถิ่นด้วยแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีกลีบกุหลาบโปรยปรายตลอดทางเดินอันทอดยาว
แม้จะเต็มไปด้วยเสี้ยนหนาม ชาวบ้านเหมืองแดงก็ยังจะก้าวต่อไป
สองฝ่าเท้าที่หยัดอยู่เพื่อพิทักษ์แผ่นดินเกิด เสมือนหนึ่ง “นักรบมาตุภูมิ” ที่คอยปกปักษ์ดินแดน และพร้อมแลกชีวิตกับข้าศึกที่ย่างกรายเข้ามา
ความน่าสนใจของชุมชนเหมืองแดงก็คือ เป็นการต่อสู้ของ “คนเมือง” ที่เห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันว่า จะได้รับผลกระทบทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากโครงการสร้าง “บ่อบำบัดน้ำเสีย” ของเทศบาลตำบลแม่สาย
“คนเมือง” ในที่นี้หมายถึงชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง แม้ว่าจะทำเกษตรกรรม ทำสวน ทำไร่ หาปลา แต่ก็ยังมีวิถีชีวิตแบบชาวเมืองอยู่ และถึงแม้จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ขนาดมหึมา ทาวน์เฮาส์หรูราคาสูงระยับ หรือคอนโดมิเนียมสูงเสียดฟ้า แต่ก็มิอาจเรียกชุมชนเหมืองแดง ต.แม่สาย ว่าชนบทได้
ชุมชนเหมืองแดงมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และปัจจุบันก็กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยตัวเอง
ปฐมบทแห่งนี้เริ่มต้นจากแนวคิดการก่อกำเนิดโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียของเทศบาลตำบลแม่สาย บนเนื้อที่ 19 ไร่ ประชิดแม่น้ำสาย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ดินราชพัสดุที่อยู่ติดกับโครงการชลประทานเชียงรายเหมืองแดง
ตัวเลขงบประมาณดำเนินการมากถึง 260 ล้านบาท
ความไม่ชอบมาพากลในมุมมองของชาวบ้านเหมืองแดงก็คือ ตั้งแต่ปี 2552 (หรือประมาณ 7 ปีก่อน) มาจนถึงทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่เทศบาลได้พูดถึงโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียแห่งนี้เพียงแค่ 2 ครั้ง
ต้นปี 2552 เทศบาลตำบลแม่สายจัดประชุมชาวบ้านตามวาระปกติ แต่แล้วในช่วงท้ายนายกเทศมนตรีก็แจ้งว่าจะมีการก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียขึ้น ชาวบ้านในที่ประชุมเพียง 3 ราย ยกมือคัดค้าน ส่วนที่เหลือยังไม่เข้าใจว่าโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคืออะไร
ต้นปี 2556 หรือประมาณ 4 ปีถัดมา เทศบาลตำบลแม่สายได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านในวาระอื่นๆ ตามปกติ จนกระทั่งก่อนจะปิดการประชุม จึงมีการแจ้งว่าขณะนี้เทศบาลได้รับงบประมาณก่อสร้างบ่อบำบัดมาแล้ว จึงจะเริ่มก่อสร้างโดยทันที
คำถามของชาวเหมืองแดงก็คือ เหตุใดต้องเร่งรัดและรวบรัดเช่นนี้
ขณะนั้นกระบวนการยุติธรรมคือ ที่ยึดเหนี่ยวเดียวของประชาชน ชาวบ้านเหมืองแดงจึงร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หากแต่เวลานั้นความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น ศาลปกครองจึงมีคำสั่งยกคำร้อง
ปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างการวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด
จัตุรวิชช์ ดอกไม้ ประธานกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแม่สายบ้านเหมืองแดง บอกว่า แม่น้ำสายซึ่งบ่อบำบัดน้ำเสียจะมาสร้างอยู่ประชิดนั้น เป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชาวบ้าน ต.แม่สาย มาโดยตลอด และในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างก็มีชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 2,500 ราย ที่จะได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำสายโดยทันที
ขณะนี้ชาวบ้านมีความกังวลเรื่องมลพิษ ความสกปรก กลิ่น และการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ที่สำคัญก็คือจุดก่อสร้างนั้น เดิมทีในช่วงหน้าน้ำจะเป็นช่องทางให้น้ำไหลบ่าจากพื้นที่รับน้ำลงสู่แม่น้ำสาย ฉะนั้นหากเกิดบ่อบำบัดขึ้น พื้นที่จำนวน 19 ไร่ ก็จะถูกยกระดับขึ้นสูงกลายเป็นคันกั้นน้ำ นั่นเท่ากับว่าจะมีสิ่งกีดขวางทางน้ำไหล
คาดการณ์จากประสบการณ์ตรงในทุกๆ ปี พบว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 4 ชุมชน ที่จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำท่วมที่จะสูงขึ้นอีก ทั้งๆ ที่ปัจจุบันก็ท่วมรุนแรงอยู่แล้ว
ประธานกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพูดชัดว่า ชาวบ้านเหมืองแดงไม่ได้คัดค้านโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย และเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชุมชน แต่ชาวบ้านต้องการให้ย้ายจุดที่สร้างออกไปในบริเวณปลายน้ำเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อศาลปกครองกลางไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จึงเป็นความชอบธรรมของบริษัทเอกชนที่ได้รับการว่าจ้างจากเทศบาลในการเข้ามาวางท่อ โดยขณะนี้ท่อทั้งหมดถูกวางเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงแต่จุด “ไข่แดง” คือชุมชนเหมืองแดงเท่านั้นที่ไม่สามารถเข้ามาได้
อธิบายให้เห็นภาพก็คือ ขณะนี้มีท่อจาก 4 ทิศ ล้อมชุมชนเหมืองแดงอยู่ แต่สาเหตุที่ยังเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากชาวบ้านได้ตั้งเต็นท์ 4 จุด ที่แนวท่อบริเวณรอยต่อเขตแดนชุมชนเหมืองแดงหมู่ 2 โดยแบ่งเวรเฝ้ายามป้องกันไม่ให้บริษัทเอกชนเข้ามาในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง
เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือนแล้ว ที่ชาวบ้านร่วมๆ 600 ชีวิต จากชุมชนบ้านกลาง ชุมชนศาลเจ้า ชุมชนสันนา และชุมชนผามความ ซึ่งอยู่ในบ้านเหมืองแดงออกมาปักหลักกินนอนเฝ้าทางเข้า-ออก ภายหลังเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา บริษัทเอกชนได้นำรถแบ็กโฮและรถขนอุปกรณ์เข้ามาในพื้นที่จนสถานการณ์ตึงเครียดและเกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย แต่ไม่มีความเสียหายหรือใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ชาวเหมืองแดงตั้งเป้าหมายว่าจะอยู่เฝ้าแผ่นดินเกิดไปจนถึงเดือน ม.ค. 2560 ซึ่งบริษัทเอกชนจะหมดสัญญากับทางเทศบาล
“ระหว่างการอุทธรณ์ชาวบ้านจึงต้องเฝ้าระวังไม่ให้มีการเข้ามาดำเนินการในพื้นที่ เพราะหากมีการเริ่มต้นแล้วจะไม่สามารถหยุดยั้งได้” จัตุรวิชช์ ระบุ
แม้ว่าผลการต่อสู้จะอยู่เหนือการควบคุมและคงไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้ หากแต่การผนึกหัวใจของชาวบ้าน ซึ่งอยู่ในชุมชนเมืองเพื่อพิทักษ์รักษาผืนดินของบรรพบุรุษได้เกิดขึ้นแล้ว
นี่คือปรากฏการณ์ที่ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง


