หายนะของสังคม ไม่เคยเกิดขึ้นจากคนแค่คนเดียว
หลายคนคงคุ้นเคยกับคำอธิบายว่าฮิตเลอร์มิใช่คนที่ต้องรับผิดในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวแต่เพียงผู้เดียว
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
หลายคนคงคุ้นเคยกับคำอธิบายว่าฮิตเลอร์มิใช่คนที่ต้องรับผิดในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวแต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นสภาวะทางสังคมหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กดดันเยอรมนี จนทำให้เกิดฮิตเลอร์และนโยบายหายนะนี้ขึ้นมา
พูดง่ายๆ ก็คือ ในสภาวะแบบเดิมถึงไม่มีคนที่ชื่อฮิตเลอร์มาสร้างเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ก็อาจจะมีคนอื่นโผล่มาทำแบบเดียวกันได้อยู่ดี
นั่นทำให้คนที่ต้องร่วมรับผิดชอบในอาชญากรรมครั้งนั้น ต้องรวมไปถึงสังคมเยอรมันทั้งสังคมด้วย
และเพราะชาวเยอรมันคิดได้แบบนี้ จึงพร่ำสอนกับเยาวชนรุ่นต่อๆ มาถึงความผิดพลาดของปัจเจกชนในสังคมเยอรมันในยุคนั้น ว่าทุกๆ คนป้องกันการเกิดฮิตเลอร์ขึ้นได้
หนึ่งในนั้นมีคำถามท้าทายมุมมองในสังคมฝรั่งตะวันตกว่า “ถ้าให้ท่านย้อนเวลาไปหาหนูน้อยฮิตเลอร์ในวัยเยาว์ได้ ท่านจะกำจัดเด็กน้อยคนนี้หรือไม่?”
คำถามซ้อนคำถามก็คือ “แน่ใจหรือไม่ว่าถ้าไม่มีหนูน้อยฮิตเลอร์แล้วจะไม่มีใครคนอื่นก้าวเข้ามาแทนที่อยู่ดี?” กับ “แน่ใจหรือว่าการชิงลงมือจัดการกับหนูน้อยฮิตเลอร์ก่อนด้วยข้อหาที่ว่าอนาคตเด็กน้อยคนนี้จะต้องเป็นภัยนั้น แตกต่างจากสิ่งที่ฮิตเลอร์กระทำต่อชาวยิวที่ตรงไหน?”
ย้อนกลับมาที่โลกตะวันออกในช่วงเวลาไม่ไกลนัก ปรากฏการณ์ที่ผู้นำนำทางผิดจนเกิดความหายนะต่อชีวิตผู้คนนับล้านเกิดขึ้นไม่ต่างกัน
หนึ่งในความผิดพลาดครั้งใหญ่คือความผิดจากเหมาเจ๋อตง
ในการถกประวัติศาสตร์จีน เหมาเจ๋อตงมักไม่พ้นที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รับผิดจากวิกฤตร้ายแรงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรมในยุคหนึ่งของแผ่นดินจีน
ตั้งแต่นโยบายก้าวกระโดดใหญ่ ที่พยายามสร้างกระแสว่าชาติจะรุ่งเรืองได้เท่าทันประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอังกฤษภายในไม่กี่ปี จนเกิดวิกฤตการรายงานตัวเลขและความสำเร็จจอมปลอม อันนำไปสู่ความอดอยากที่ผู้คนต้องล้มตายนับล้าน เพราะรัฐบาลท้องถิ่นพยายามส่งผลผลิตกลับส่วนกลางตามคำประกาศความสำเร็จ และคอยปิดกั้นความล้มเหลวของจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง ถึงขนาดไม่เหลืออาหารให้คนในคอมมูนท้องถิ่น
เมื่อเกิดทุพภิกขภัยซ้ำเติม ชีวิตคนนับล้านจึงถูกสังเวยนโยบายนี้
ตามมาด้วยปฏิวัติวัฒนธรรมที่ปลุกกระแสการล้มล้างแนวคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ความเคยชินเก่า สร้างทัศนคติว่าอะไรที่เป็นคติของจีนดั้งเดิมล้วนเลวทราม สร้างความวุ่นวายในสังคม ทำลายคนเห็นต่าง บ้านเมืองเข้าสู่ยุคความป่าเถื่อน
แล้วความคิดทั้งหมดนี้เหมาเจ๋อตง คือ ผู้ริเริ่มจริงหรือ? เหมาเจ๋อตงคิดขึ้นมาจากอากาศธาตุอย่างนั้นหรือ?
หากใช้วิธีการที่อธิบายฮิตเลอร์ข้างต้นมาถก ก็คือ “ไม่ใช่”
กระบวนการต่อต้านวัฒนธรรมเก่ามีมาตั้งแต่ยุคจีนแพ้สงครามให้กับชาติมหาอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ชาวตะวันตกขนานนามจีนยุคนั้นว่า “คนป่วยแห่งเอเชีย” และคนจีนก็ยอมรับเช่นกัน
ป่วยก็เพราะมีโรคร้ายภายในตัวเอง
ชาวจีนจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มเห็นความต้อยต่ำ แล้วหาสาเหตุว่าเพราะอะไร?
คำตอบกว้างๆ ที่ใช้กันทั่วไป คือ เพราะความเป็นจีนดั้งเดิมที่คร่ำครึ ล้าสมัยในทุกด้าน
ช่วงเริ่มต้นขุนนางส่วนหนึ่งก็พยายามขับเคลื่อนการปฏิรูปจีนส่วนหนึ่งให้เป็นไปตามแบบตะวันตก แต่มักพบกับความผิดหวังกับแรงต้านทานของกลุ่มอำนาจเดิมในราชสำนัก
นั่นทำให้แรงขับนอกวงขุนนางยิ่งรุนแรงมากขึ้น สุดท้ายราชสำนักต้องยอมถอย ปรับปรุงระบบการศึกษา ยกเลิกระบบสอบเป็นขุนนางแบบดั้งเดิมทิ้ง (ที่คนไทยเรียกติดปากว่าสอบจอหงวน) และเริ่มร่างระบบรัฐธรรมนูญ
แต่นั่นยังไม่ทันการณ์ ในปี 1911 ราชสำนักก็จำต้องถอยไป และจีนใหม่จึงถือกำเนิด
แต่เมื่อจีนเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยคาดหวังว่าเมื่ออยู่ร่วมกับฝ่ายที่ได้ชัยชนะจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แต่ผลกลับไม่เป็นไปตามที่ควรเป็น แม้แต่ดินแดนซานตงของจีนที่ถูกยึดโดยเยอรมนีผู้แพ้สงคราม มหาอำนาจก็กลับโอนดินแดนเหล่านั้นไปให้ญี่ปุ่น
คนจีนจึงถูกตอกลิ่มให้เจ็บปวดและรู้สึกว่า ต้องขจัดโรคภัยภายใน และยืนหยัดขึ้นมาเข้มแข็งด้วยตัวเองเท่านั้น จึงจะมีศักดิ์และสิทธิที่จะต่อรองกับคนอื่นได้
เหตุการณ์นั้นทำให้นักศึกษาเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ชื่อตามวันที่เกิดการเดินขบวนว่า “ขบวนการ 4 พฤษภา” (ค.ศ. 1919) กลายมาเป็นจุดกำเนิดแนวคิดของจีนใหม่ที่ชัดเจน
จีนจะต้องไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มุ่งชำระแนวคิดจีนเก่า คือ การขจัดโรคภัยให้ตัวเอง แล้วหาหนทางยืนหยัดแบบชาติมหาอำนาจให้ได้
ยิ่งปลุกระดมยิ่งเข้มข้น นักเขียน นักการเมือง ที่มุ่งไปในทิศทางโจมตีวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม และเพิ่มเติมความฮึกเหิมในชาติแบบไม่ง้อฝรั่งยิ่งได้รับความนิยม
แนวคิดในเหตุการณ์ “4 พฤษภา” กลายเป็นรากของจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติจีนยุคต่อๆ มา ภายใต้บ้านเมืองที่วุ่นวาย และการแย่งชิงอำนาจของกลุ่มขุนศึก
ผลการวัดอำนาจด้วยกำลังกำปั้นเข้าทางพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งมักหยิบยกโลกใหม่ที่ไม่มีพันธะกับสังคมเดิมใดๆ มาเหนี่ยวรั้ง ไม่มีสัมพันธ์ใดๆ ที่ไม่เสมอภาคกับมหาอำนาจตะวันตกให้ต้องผิดหวัง
เหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำทางการเมืองที่ประกาศแนวคิดที่ชาวจีนถูกบ่มเพาะมาจากความผิดหวังก่อนหน้านี้ได้ชัดเจนที่สุด
ผู้นำที่ได้รับความนิยม คือ เป็นผู้นำที่พูดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากได้ยิน แต่จะเป็นทางที่เกิดประโยชน์ที่แท้จริงหรือไม่นั้น ยังต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป
เมื่อสุดท้ายชัยชนะทางการทหารเป็นของเหมาเจ๋อตง เขาจึงก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ก้าวขึ้นมาทำตามสัญญา หลายคำสัญญาถูกนำไปปฏิบัติอย่างไม่ลังเล เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวมวลชนตั้งแต่ก่อนเหมาเจ๋อตงประกาศ
เพราะฉะนั้นจะว่าไปจุดเริ่มต้นของแนวคิดก้าวกระโดดใหญ่และปฏิวัติวัฒนธรรมจึงเกิดขึ้นแล้วก่อนหน้านั้น เพราะมันเกิดมาตั้งแต่กระแสสังคมตั้งแต่ขบวนการ “4 พฤษภา”
แต่ก็ควรบอกในที่นี้ด้วยว่า การกล่าวโทษว่าเพราะขบวนการ “4 พฤษภา” จึงทำให้เกิด “ก้าวกระโดดใหญ่” และ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” นั่นก็รวบรัดเกินไป เพราะปรากฏการณ์ทางสังคมขนาดใหญ่มันไม่ใช่เรื่องของเหตุและผล แต่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย
ขบวนการ “4 พฤษภา” ที่บ่มเพาะมายาวนานเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สารที่เหมาเจ๋อตงสื่อ สัมฤทธิผลอย่างรุนแรงและรวดเร็วต่อมวลชน
แนวคิดอยากนำพาชาติออกจากความอ่อนแอ ที่ถูกผลักดันอย่างรุนแรง และเมื่อมีวาระซ่อนเร้นด้วยผลประโยชน์ทางอำนาจการเมือง จึงนำพาสังคมเข้าสู่หายนะ ผ่านเหมาเจ๋อตง ซึ่งประกาศนโยบายได้ตรงกับสิ่งที่มวลชนอยากได้ยิน
อยากได้ยินว่าสังคมจีนดั้งเดิมปวกเปียกอ่อนแอ มีแต่สิ่งแย่ๆ ที่ต้องกำจัดทิ้ง อยากได้ยินว่าโลกภายนอกทอดทิ้งจีน มีแต่จีนที่ต้องยืนหยัดต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง
มองในบางมุมผู้นำก็ได้แต่ป้อนนโยบายนำสังคมไปในทางที่มวลชนในสังคมนั้นๆ อยากฟัง
มวลชนในสังคมอยากได้ยินอะไรจึงสำคัญอย่างยิ่ง และสติของมวลชนในสังคมเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของสังคมไม่ให้ก้าวสู่หายนะที่แท้จริง
ผู้ที่ต้องเรียนรู้และรับผิดชอบต่อหายนะของสังคม จึงไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนของสังคมนั้นทั้งหมด


