posttoday

กรุงเทพฯ เคยมีเสือ ตอนนี้เหลือแค่แมว

04 ตุลาคม 2559

แน่นอนว่าก่อนมีเมืองต้องเคยมีป่า ไม่เว้นแม้แต่กรุงเทพมหานคร เมืองอมรที่ป่าไม้ถูกแทนที่ด้วยป่าตึก

โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ ปฏิภัทร จันทร์ทอง, มูลนิธิโลกสีเขียว

แน่นอนว่าก่อนมีเมืองต้องเคยมีป่า ไม่เว้นแม้แต่กรุงเทพมหานคร เมืองอมรที่ป่าไม้ถูกแทนที่ด้วยป่าตึก จนคนไม่นึกว่ายังมีสัตว์ป่าหลงเหลือ แต่หากสังเกตจะเจอสัตว์ป่าข้างตัว ทั้ง ตุ๊กแก งู กบ นก ตัวเงินตัวทอง ที่ได้ปรับตัวเพื่อให้มีชีวิตรอด อย่างโครงการ Bangkok Wildwatch Online ที่ชวนคนเมืองออกมาสำรวจและสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบบ้าน เพื่อให้ตระหนักถึงการมีตัวตนของเจ้าถิ่นที่ถูกลืม

อธิปัตย์ อู่ศิลปกิจ ฝ่ายสื่อสารสิ่งแวดล้อม มูลนิธิโลกสีเขียว และผู้รับผิดชอบโครงการ แบงค็อก ไวลด์วอตช์ ออนไลน์ (Bangkok Wildwatch Online) กล่าวว่า คนเมืองอยู่อาศัยกับสัตว์ป่าโดยไม่ทันสังเกต ไม่รู้ตัว และไม่สนใจ วัตถุประสงค์ของโครงการจึงอยากให้คนเมืองหันมาสนใจสิ่งมีชีวิตรอบตัวและพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น โดยทุกเดือนมูลนิธิโลกสีเขียวจะประกาศชื่อสัตว์ป่าในเฟซบุ๊ก (gwfthailand) เพื่อให้คนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ปักหมุดบอกพิกัดผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ของมูลนิธิ จากนั้นจะนำมารวบรวมบนแผนที่ แล้วเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านทางเฟซบุ๊กอีกครั้ง

กรุงเทพฯ เคยมีเสือ ตอนนี้เหลือแค่แมว

 

อธิปัตย์ เล่าต่อว่า ตอนนี้เป็นเดือนที่ 4 ตัวที่ 4 โดยที่ผ่านมา ได้แก่ นกตีทอง ตุ๊กแก งูเขียวพระอินทร์ และเดือนนี้ กบหนอง โดยแต่ละตัวจะมีหน้าที่ในระบบนิเวศต่างกัน อาศัยอยู่ในแหล่งที่แตกต่างกัน เช่น นกตีทองเป็นสัตว์ที่บอกได้ว่าบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่ เพราะถ้าไม่มีต้นไม้ใหญ่มันจะทำรังไม่ได้ ตุ๊กแกเป็นตัวควบคุมแมลงหรือหนูตัวเล็กๆ ในบ้าน งูเขียวพระอินทร์ บอกได้ว่าบริเวณบ้านมีต้นไม้มากน้อยแค่ไหน เพราะตัวสีเขียวของมันต้องอยู่กับต้นไม้ ส่วนกบหนอง จะบอกที่ตั้งของพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่จำนวนมาก

“เลือกใช้ไลน์เพื่อจะได้แชร์โลเกชั่น โดยเริ่มจากพื้นที่ในเมืองก่อน ให้คนในเมืองได้ฝึกสังเกตธรรมชาติรอบตัว และปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อสัตว์ ให้เห็นถึงความสำคัญ เห็นบทบาทในธรรมชาติ และสร้างจิตอนุรักษ์ขึ้นในใจคน” เจ้าของโครงการ กล่าว

จากการทำโครงการมา 4 ครั้ง 4 เดือน 4 ชนิด พบว่าพื้นที่ที่พบมากคือ โซนพื้นที่สีเขียว และพื้นที่ส่วนตัวตามบริเวณบ้าน ผิดกับบริเวณริมถนนใหญ่ที่ไม่ค่อยพบเห็น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งชี้ “สุขภาพเมือง” หรือความอุดมสมบูรณ์ของย่านนั้น และในเดือนหน้าคาดว่าจะให้คนกรุงปักหมุดตัวเงินตัวทอง จับกระแสดราม่าที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

“ประเด็นที่น่าสนใจคือทำไมคนถึงเกลียดตัวเงินตัวทอง เป็นเพราะว่ามันไม่สวย มันกินซาก หรืออย่างไร แต่หากมองในเรื่องระบบนิเวศ มันจะเป็นสัตว์ที่ชี้วัดได้ว่า แหล่งที่อาศัยนั้นค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ และมันยังทำหน้าที่เหมือนเทศบาล คือคอยเก็บซากสัตว์ที่เน่าๆ กิน ตัวสำคัญคือหนูท่อที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ตัวเงินตัวทองจะช่วยกินและควบคุมปริมาณหนู”

 

กรุงเทพฯ เคยมีเสือ ตอนนี้เหลือแค่แมว

 

นอกจากนี้ มูลนิธิโลกสีเขียวยังเคยจัดโครงการ ไลเคน วอตช์ (Lichen Watch) ดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศ โดยการสำรวจพื้นที่กลางเมืองอย่างสวนลุมพินี ตั้งแต่ปี 2553 พบว่า ไลเคนน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมาเริ่มพบมากขึ้นทางฝั่งถนนวิทยุ อันเป็นสัญญาณว่าอากาศบริเวณนั้นดีขึ้น

“คนเราอาจอยู่โดยไม่มีป่าได้ แต่จะเป็นโรคขาดธรรมชาติ และจะได้รับผลกระทบมาก ป่าเป็นตัวกำบังแดด เป็นแหล่งอาหาร เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า วันนี้สัตว์ป่าออกจากเมือง บ้างก็สูญพันธุ์ เหลือแต่เพียงบางชนิดที่ปรับตัวได้ ซึ่งหากเราสูญเสียมันไปอีก ธรรมชาติในเมืองคงวิบัติ” อธิปัตย์เพิ่มเติม

ด้าน ดร.ประทีป ด้วงแค รองคณบดีคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องป่าไม้และสัตว์ป่าในประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อนับย้อนกลับไปตามประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี พื้นที่กรุงเทพฯ ยังเป็นป่าเพราะยังไม่มีการตั้งถิ่นฐานตามราชธานี

“กรุงเทพฯ ยังไม่เป็นเมือง ยังไม่มีคนอยู่ ก็หมายความว่ากรุงเทพฯ เป็นป่า” อาจารย์ประทีบ กล่าวต่อว่า ลักษณะภูมิประเทศของกรุงเทพฯ เป็นที่ราบแม่น้ำ รับน้ำขึ้นน้ำลง โดยน้ำจะหลากในฤดูฝน และถอยร่นในฤดูแล้ง ทำให้พืชพรรณที่เติบโตในเขตกรุงเทพฯ เป็นป่าบึงน้ำจืด ป่าน้ำกร่อยเพราะอิทธิพลน้ำทะเลเข้าถึง จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่เพิ่งมีคนเข้ามาตั้งหลักแหล่งในเขตบางกอกหรือกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน

 

กรุงเทพฯ เคยมีเสือ ตอนนี้เหลือแค่แมว

แสดงให้เห็นว่า ป่าในกรุงเทพฯ เพิ่งหายไปเมื่อ 200 กว่าปีนี้เอง อย่างในสมัยรัชกาลที่ 3 รับสั่งให้ขุดคลองแสนแสบเพื่อใช้ในการสัญจรจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังแม่น้ำบางปะกง และสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงให้ขุดคลองรังสิต คนจึงนิยมสร้างบ้านริมคลองเพื่อง่ายต่อการค้าและสัญจร

เมื่อป่าหาย สัตว์ป่าก็หาย อย่างสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และสูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทย คือ สมัน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางบริเวณทุ่งโล่งกว้างเท่านั้น ปัจจุบันพบเพียงกระดูกในชั้นดินเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานี สมันสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยเมื่อ 60-70 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เมืองเริ่มขยาย เช่นเดียวกับเนื้อทราย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกกวางชนิดหนึ่ง ที่สูญหายไปจากแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ก่อนปี 2500 แต่ยังพบบนเกาะกระดาด จ.ตราด

“ตอนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ใหม่ๆ ยังเจอเสือ ช้าง กระทิง เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อประชากรเพิ่ม ยกตัวอย่างเมื่อ 100 ปีก่อนมีประชากรทั้งประเทศ 8 ล้านคน แต่ช่วงเพียงเจเนอเรชั่นเดียว ประชากรไทยเพิ่มขึ้นเป็น 65 ล้านคน ถามว่าคนเพิ่มขนาดนี้จะไปอยู่ที่ไหน ที่ที่ดีที่สุดในประเทศไทยคือที่ราบลุ่มภาคกลาง ที่ใกล้แม่น้ำ และเป็นดินตะกอนเพาะปลูกได้ดี พื้นที่ป่าจึงแปรเปลี่ยนเป็นอย่างชุมชนสังคมเมือง พืชพันธุ์ตามธรรมชาติที่มาอยู่ก่อนก็เริ่มตาย และสุดท้ายสัตว์ป่าที่ปรับตัวไม่ได้จนหายไปจากพื้นที่” ส่วนตัวเงินตัวทอง หรือ Water Monitor Lizard ที่เป็นกระแสข่าวกรณี กทม. ตามจับตัวเงินตัวทองเพื่อควบคุมจำนวนในสวนลุมพินี

อาจารย์ประทีบ ชี้แจงว่า ตัวเงินตัวทองจะอาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำอย่างกรุงเทพฯ ทว่าเมื่อเมืองขยายมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างกั้นทางน้ำ ตัวเงินตัวทองจึงถอยร่นไปอยู่ตามลำคลองหรือแหล่งน้ำ ซึ่งนั่นก็คือ สวนสาธารณะ

กรุงเทพฯ เคยมีเสือ ตอนนี้เหลือแค่แมว

 

“เป็นเรื่องปกติที่สัตว์จะปรับตัวไปหาแหล่งที่อยู่ที่มันจะมีชีวิตอยู่ได้ สวนสาธารณะมีน้ำ มีต้นไม้ มีอาหาร ซึ่งเป็นสภาพที่ใกล้เคียงกับที่อยู่เดิมมากที่สุด คนนั่นแหละที่ต้อนมันไป ไม่ต่างจากช้างหรือกระทิงที่อพยพจากเมืองไปอยู่เขาใหญ่ นั่นก็เพื่อหาทางมีชีวิตรอด”

อาจารย์ยังเพิ่มเติมว่า ทาง กทม. ได้ประเมินจำนวนตัวเงินตัวทองในสวนลุมได้ประมาณ 400 ตัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่มีงานวิทยาศาสตร์รองรับ ทุกคนต่าง “มโน” ไปเองว่ามันมีมาก บ้างก็ว่ามีน้อย หรือมีพอดี เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครหรือหน่วยงานใดลงไปนับประชากรตัวเงินตัวทองทั้งหมดในเมืองหลวง

“ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมีจำนวนตัวเงินตัวทองเท่าไร จึงไม่รู้ว่าจะเถียงกันไปทำไม และจุดจบคืออะไร เราจะเถียงกันไม่จบเพราะทุกคนมีตัวเลขในสมองต่างกัน จนกว่าจะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน ตัวเลขนั้นต้องเป็นตัวเลขที่สามารถรีเช็กได้ และตอบได้ว่าใช้วิธีการสำรวจแบบใด หาข้อเท็จจริงออกมา ไม่ใช่พูดแต่สิ่งที่ต่างมโนขึ้นเอง”

อาจารย์สมมติให้เลี้ยงไก่ 1 เล้า มีไก่ 100 ตัว และให้อาหารสำหรับไก่ 100 ตัว วันดีคืนดีจับออก 50 ตัว แต่ยังให้อาหารเท่าเดิม ไก่ที่เหลือจะมีอาหารมากขึ้นและมีพื้นที่เพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาคือ ประชากรไก่ในเล้าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มันจะเติบโตและผสมพันธุ์บ่อย ซึ่งสุดท้ายจะเพิ่มจำนวนและกลับมาเป็น 100 ตัวดังเดิม

กรุงเทพฯ เคยมีเสือ ตอนนี้เหลือแค่แมว

 

“การจับตัวเงินตัวทองออกจากสวนลุมไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะอาหารมันยังเท่าเดิม พื้นที่เท่าเดิม เดือนนี้คุณจับ เดือนหน้ามันก็เพิ่ม ที่สำคัญคือ ยังแก้ปัญหาไม่ได้เพราะเรายังไม่รู้ว่าสวนลุมมีตัวเงินตัวทองกี่ตัว เป็นตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว ตัวเต็มวัยกี่ตัว ในเมื่อเรายังไม่รู้จักพวกเขา แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร” อาจารย์ประทีป ทิ้งท้าย

หากศึกษาเรื่องประชากรตัวเงินตัวทองในประเทศไทยจะพบวิทยานิพนธ์ไม่เกิน 4 เล่มเคยศึกษา หนึ่งในนั้นคือ วิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประชากรและความหนาแน่นของตัวเงินตัวทองในบางกระเจ้า โดย รุจิระ มหาพรหม นักวิจัย สำนักอนุรักษ์และวิจัย องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์

เขากล่าวว่า การประเมินประชากรสัตว์ป่ามีหลายวิธี เช่น การจัดระดับซ้ำ การเดินเทรล ต้องใช้เวลาในการศึกษาตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งทาง กทม. ใช้คำว่า “ประเมินคร่าวๆ” ในการนับจำนวนตัวเงินตัวทองในสวนลุม แต่การประเมินประชากรสัตว์ป่าจะใช้คำว่า คร่าวๆ ไม่ได้

“มันต้องชี้ให้ชัดว่ามีจำนวนกี่ตัว ศึกษาตั้งแต่เดือนไหนถึงเดือนไหน และต้องแยกให้ชัดเจนว่าประชากรที่ประเมินมานั้นมีเพศผู้ เพศเมีย ตัวเต็มวัย ตัวเด็ก ตัวที่เพิ่งฟักออกจากไข่ และยังเป็นไข่เท่าไร และถ้าถามว่าสวนลุมมีตัวเงินตัวทอง 400 ตัวจริงหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ทราบ”

กรุงเทพฯ เคยมีเสือ ตอนนี้เหลือแค่แมว

 

ผู้วิจัยได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวเงินตัวทองจะผสมพันธุ์ก่อนเข้าฤดูฝน จากนั้นจะวางไข่ 30-50 ฟอง โดยใช้เวลาฟักตัว 8-11 เดือน แล้วจะรอดเป็นตัวเต็มวัยอีก 2 ปี ซึ่งระหว่างนั้นอาจถูกฆ่าโดยสัตว์ผู้ล่าอย่างอีกาและงู รวมถึงมนุษย์ จะเหลือเพียงร้อยละ 10 ที่รอดเป็นตัวเต็มวัย ตัวเงินตัวทองจึงถูกควบคุมปริมาณในระบบนิเวศ

“ที่บางกระเจ้าจับตัวจริงๆ ได้ 40 ตัว” เขาลงพื้นที่สำรวจโดยใช้วิธีการจับ-ปล่อย แล้วจับอีกครั้ง (Capture Recapture) และติดไมโครชิปนาน 1 ปี เมื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์จะได้จำนวนตัวเงินตัวทองในบางกระเจ้าประมาณ 300 ตัว หรือ 25 ตัว/ตารางกิโลเมตร ซึ่งก็ยังตัดสินไม่ได้ว่ามากหรือน้อย เพราะต้องใช้การศึกษาทางสังคมหรือทางมนุษยวิทยาเข้ามาพิจารณาร่วม

“ในสวนลุมตัวเงินตัวทองถือว่าเป็นตัวท็อปเหมือนเสือในห่วงโซ่อาหาร เมื่อมันโตเต็มวัยแล้วจะไม่มีอะไรล่ามันได้ ยกเว้นมนุษย์” เขากล่าวเพิ่มเติม

ธรรมชาติของสัตว์จะมีการรีเซตตัวเองเมื่อมีความไม่สมดุลเกิดขึ้น เช่นว่า หากมีจำนวนตัวเงินตัวทองมากจนมีอาหารไม่เพียงพอ บางส่วนจะตายลงตามธรรมชาติ เราเรียกกระบวนการนี้ว่า การรีเซต หรือการทำให้ประชากรน้อยลงเพื่อตั้งค่าจำนวนประชากรใหม่ จากนั้นเมื่อมีอาหารเพียงพออีกครั้ง มันก็จะเพิ่มจำนวนประชากรให้กลับมาเหมือนเดิม

กระแสดราม่าจับตัวเงินตัวทอง เหมือนเป็นระฆังบอกเวลาให้คนเมืองคิดถึงสัตว์ป่าและธรรมชาติ เพราะคำว่า เมือง ไม่ได้มีเพียงมนุษย์ แต่ยังมีชีวิตอื่นที่ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน เรากลับมองข้ามโดยที่ไม่ตระหนักเลยว่า ไม่มีชีวิตใดที่จะหนีไปจากระบบนิเวศได้ แม้แต่มนุษย์

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้