ศิวกานท์ ปทุมสูติ ทางจักรา ค้นหาชีวิต
กวีนิพนธ์เชิงปรัชญาเรื่อง ทางจักรา ประพันธ์โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ ผ่านเข้ารอบ 6 เล่มสุดท้ายในการแข่งขัน
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ : เดชา เข็มทอง
กวีนิพนธ์เชิงปรัชญาเรื่อง ทางจักรา ประพันธ์โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ ผ่านเข้ารอบ 6 เล่มสุดท้ายในการแข่งขันรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ ซีไรต์ ประจำปี 2559 ผู้เขียนประพันธ์ด้วยรูปแบบกาพย์ กลอน และโคลง มีเนื้อหาเกี่ยวกับครูและลูกศิษย์ที่ใช้จักรยานเป็นยานพาหนะในการถีบท่องเที่ยว เพื่อแสวงหาคุณค่าและความหมายที่แท้จริงของชีวิต โดยใช้ฤดูกาลเป็นลำดับการเล่าเรื่อง ประกอบด้วย 4 บท ได้แก่ ปลายฤดูหนาว เข้าฤดูร้อน สู่ฤดูฝน และฟากฤดูกาล
ศิวกานท์เคยมีผลงานกวีนิพนธ์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์จำนวน 5 เล่ม ซึ่งนอกจากเป็นนักเขียน เขายังเป็นนักคิด นักเดินทาง และผู้ก่อตั้งทุ่งสักอาศรม แหล่งเรียนรู้เพื่อการอ่านเขียนเรียนชีวิต และก่อตั้งโครงการโรงเรียนกวี ที่ดำเนินงานโดยกองทุนทุ่งสักจากเงินส่วนตัวที่ได้จากการขายหนังสือของตน
ผู้เขียนฝึกเขียนหนังสือในยุคที่นิตยสารฟ้าเมืองไทย สตรีสาร และวิทยาสารยังเฟื่องฟู ช่วงแรกๆ ราวปี 2519 เป็นการเขียนแบบฝึกฝน มาเขียนจริงจังก็หลังจากนั้นราว 10 ปี งานเขียนส่วนมากเป็นบทกวี มีเรื่องสั้นบ้าง นิยายบ้าง สารคดีบ้าง และงานวิชาการบ้าง แต่ไม่มากนัก เขาหลงใหลในบทกวีมากกว่า โดยมีผลงานพิมพ์เล่มประมาณ 40 เล่ม
กวีนิพนธ์เล่มสำคัญ ได้แก่ สมเด็จพระภัทรมหาราชคำฉันท์ เพื่อนแก้วคำกาพย์ บทกวีร่วมสมัย สร้อยสันติภาพ บันทึกแห่งดวงหทัย กำไรจากรอยเท้า ข้าวเม่ารางไฟ ครอบครัวดวงตะวัน รักนั้นเป็นฉันนี้ กว่าจะข้ามขุนเขา ต่างต้องการความหมายของพื้นที่ เมฆาจาริก และล่าสุดคือ ทางจักรา
จากเรื่องทางจักรา ทำไมเลือกฤดูกาลเป็นลำดับการเล่าเรื่อง
“การเดินทางข้ามผ่านฤดูกาลในการปั่นขี่จักรยานโดยนัยของมันจะให้มิติชีวิตที่หลากรสดี ทั้งธรรมชาติ สังคม อารมณ์รู้สึกนึกคิด และยังทำให้เราได้มีโอกาสผัสสะกับภาวะภายในจิตใจที่หลากหลายนั้น ขณะผ่านพบอุปสรรคต่างๆ ช่วงเวลาที่ยาวนานเป็นแรมเดือนแรมฤดู ทำให้เราดำเนินไปในภาวะนิ่งพอจะพิจารณาชีวิต รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามากระทบและประหวัดคิด ซึ่งที่สุดก็คือคำตอบของการเดินทางผ่านฤดูกาลชีวิตและสังคมที่เป็นวงรอบดุจเดียวกัน
การที่เราจะเรียนรู้ชีวิตก็จะต้องเดินทางเข้าไปในชีวิต ทั้งชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันภายนอกและภายในของเราเองอย่างมีผัสกาล อีกนัยหนึ่งก็จะทำให้ผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวของชีวิตและสังคมกับแต่ละช่วงฤดูกาลนั้นอย่างได้มิติรสยิ่งขึ้น สำคัญที่สุดก็คือนัยของการข้ามพ้นวงรอบแห่งฤดูสู่การประสบพบอิสรภาพของตอน ‘ฟากฤดูกาล’ นั่นเอง”
จักรยานที่เป็นพาหนะมีนัยอย่างไร
“จักรยานเป็นพาหนะที่เราสามารถปลดวางสัมภาระแห่งความรุงรังของการเดินทางได้ดีกว่าพาหนะอย่างอื่น เดินทางไปได้ทุกที่ที่มีทาง ขณะเดียวกันมันก็ต้องใช้ใจและกายของเราในการนำพา เราไม่อาจหลีกพ้นแดด ลม ฝน ฝุ่น สภาวะร้อน หนาว ทำให้เราไม่รีบร้อน มีเวลาต่อการเนิบเนิ่นระหว่างทาง ได้เข้าใจและเข้าถึงการใช้เวลาในชีวิตมากขึ้น นั่นหมายความว่าเมื่อจิตใจของเราไม่รุงรังด้วยสัมภาระแห่งปัญหาต่างๆ ในชีวิต เราก็จะมีเวลาเรียนรู้ชีวิตได้อย่างอิสระมากที่สุด
แต่ที่เป็นปัญหาสำคัญก็คือ กาย จิต สติปัญญา และอารมณ์ของเรา มักตกจมวนเวียนอยู่กับชุดความรู้ ชุดความคิด กระทั่งสั่งสมเป็นชุดทัศนคติ วิธีการใช้ชีวิต และการแก้ปัญหา ที่ต่างมุ่งเพียงจะไปให้ถึงปลายทาง จนหลงลืมคุณค่าของการเดินทางและความหมายระหว่างทางเดินนั้น เป็นไปดั่งการรัดรึงกันของกงและกำแห่งล้อจักรยาน มันติดยึดกันอยู่เช่นนั้น ไร้อิสระแม้ในตนเอง ดังบทกวีในหน้า 256
‘เราดั่งพันธนาการแห่งล้อกง เวียนอุษาอัสดงมิสิ้นสุด หลงใหลกับปลายเท้าที่ก้าวรุด เพลิดเพลินกับมงกุฎประทุษกรรม จึงเห็นการกักขังเป็นทางออก ว่าภายนอกภายในจะไม่ระส่ำ จึงเห็นบ่วงห้วงบึงพึงใจน้ำ จนลืมโลกธรรมของธาตรี จึงเห็นเงินเห็นงามเป็นความสุข จึงเห็นยุคสร้างโคตรต้องบดขยี้ จึงจักราฝ่าไปในฝุ่นธุลี เพียงที่จะถึงซึ่งปลายทาง’
การณ์เช่นนั้น อาจนำให้เราไปถึงปลายของข้างใดข้างหนึ่ง ขณะทิ้งซากปรักพังของชีวิตและจิตใจไว้มากมายในรอยทาง แต่หากจะเหลียวไปดูรอยที่กงล้อจักรยานนั้นเคลื่อนผ่าน เราก็จะเข้าใจได้ถึงสัจจะของการละวาง ให้ชีวิตเราเป็นดั่งล้อกง แล้วให้จิตใจเป็นดั่งรอยที่อิสระนั้นสิ เราจะพบทางและรอยทางทุกท่วงก้าวที่เป็นคุณค่าของการมีอยู่ของชีวิต”
ทำไมเลือกบทบาทครูกับศิษย์
“เรื่องนี้เป็นเรื่องจากเรื่องจริงที่ผมปั่นจักรยานกับลูกศิษย์ครับ และผมคิดว่าการส่งไม้แห่งอิสระปัญญาต่อให้ใครสักคนหนึ่ง เขาจะต้องมีตัวตนที่งอกงามจากการเรียนรู้ของเขาเองด้วย ครูไม่ควรเป็นผู้สอนที่ล่องลอยอยู่ในอากาศธาตุ หากแต่ควรเป็นผู้เรียนรู้และเติบตื่นไปพร้อมกับศิษย์”
ถ้าผู้เขียนเป็นครูในเรื่องจะสอนอะไร
“อยากจะชวนกันอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบด้วยใจอันประณีตและเบิกบาน ทุกคำที่เขียนมีคำตอบมากกว่าคำตอบอยู่ในระหว่างบรรทัดของบทกวี อย่างหน้า 217 ที่ครูในเรื่องตื่นขึ้นจากคำพูดและการกระทำของศิษย์ นั่นก็ยืนยันว่า พื้นที่เกียรติยศของการเรียนรู้ เราต่างเป็นครูของกันและกันได้ตลอดเวลา
ภูผานิ่งนานลานต้นกก เพ่งพินิจซากนกหนอนชอนไส้ ‘ครูครับมันตายได้อย่างไร’ เขาพูดพลางเขี่ยไม้อยู่ไปมา ข้ารู้สึกสว่างขึ้นบางสิ่ง ‘นี่การเกิดเพริศพริ้งนะภูผา นกตายเกิดหนอนซ้อนชีวา เราตายจากซากผกาสิช้าไย’
คือถ้าภูผาไม่ผุดคำถามถึงการ ‘ตาย’ ครูก็มิอาจพบความหมายของการ ‘เกิด’ ของกาละนั้น กระทั่งในหน้า 218 ที่ต่างได้ตระหนักถึงการตายจากความเป็นสิ่งที่มิใช่เพื่อเกิดใหม่ในสิ่งที่ใช่กว่าเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกของสุขสัจที่แท้จริงได้”
วัฏจักรแห่งเวลาคืออะไร
“เวลาเป็นเพียงรอบนามแห่งกาลสมมติ ที่การเปลี่ยนผ่านของมันรอบแล้วรอบเล่าล้วนมีความหมายต่อชีวิตและสรรพสิ่ง สำคัญที่ว่าเราต่างเรียนรู้ที่จะรู้อะไรจากวงรอบของมันบ้าง หากการเคลื่อนผ่านของชีวิตในกาลจักรเป็นไปเสมือนแค่ได้ปั่นจักรยานถึงเป้าหมาย โดยปราศจากความเข้าใจในสัจวัฏเสียแล้ว ก็น่าเสียดายนะครับ และจะยิ่งน่าเศร้าถ้าจิตวิญญาณของเราตกอยู่ใต้อิทธิพลของมันโดยไม่คิดหาทางเลือกกำหนดทิศทางของตนเอง”
จักรา แปลว่า พลังแฝงที่อยู่ในทุกสิ่ง แล้วจักราชีวิตเป็นอย่างไร
“หากเราเชื่อว่าจักราคือพลังแฝงที่อยู่ในทุกสิ่งเช่นนั้นร่วมกัน เราต่างก็มีคำตอบอยู่ในตนด้วยกันแล้ว หากแต่เราได้เคยเรียนรู้ที่จะใช้จักราชีวิตของเราให้เป็นพลังบวกอย่างเต็มศักยภาพเพียงใด น่าเสียดายนะครับหากเรามัวแต่หมุนไปกับกงและกำของกลจักรอย่างสูญเปล่า”


