posttoday

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย

03 กันยายน 2559

หลายคำทัดทานเมื่อทราบว่าจะไป เลห์ (Leh) เมืองหลวงแห่งแคว้นลาดักห์ (Ladakh) รัฐชัมมูและแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย

โดย...อุเทน เหมือนทัพ ภาพ... วิศิษฐ์ แถมเงิน

หลายคำทัดทานเมื่อทราบว่าจะไป เลห์ (Leh) เมืองหลวงแห่งแคว้นลาดักห์ (Ladakh) รัฐชัมมูและแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย แต่ทำไมเมืองนี้จึงเป็นจุดหมายของนักเดินทางหลายคน

เลห์ ลาดักห์ มีความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล บางคนกล่าวว่าที่นี่คือสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชียใต้ เพราะมีท้องฟ้าสีฟ้า ทิวเขาสลับซับซ้อน มีหิมะปกคลุมยอดเขาไม่ต่างจากดินแดนยุโรป แต่เลห์ ก็คือเลห์ ที่นี่ไม่เหมือนที่ใดและไม่มีที่ใดเหมือน

ช่วงที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวเลห์ คือ หน้าร้อน เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ก.ย. อุณหภูมิทั่วไปในเมืองอยู่ที่ประมาณ 10-25 องศา ส่วนนอกเมืองบริเวณริมทะเลสาบอาจจะลดลงไปถึง 1-5 องศาในตอนกลางคืน ในฤดูหนาวอุณหภูมิจะตกลงไปถึง -30 องศา ทำให้ชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว รวมถึงนักท่องเที่ยว

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย ชาวบ้านจับจ่ายซื้อผักผลไม้

 

การเดินทางไปเลห์ที่ง่ายที่สุด คือ การนั่งเครื่องบินระหว่างประเทศไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติ อินทิรา คานธี เมืองนิวเดลี จากนั้นต่อเครื่องบินภายในประเทศประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไปลงที่สนามบินเมืองเลห์ ซึ่งสนามบินนี้เป็นสนามบินของทหาร จะอนุญาตให้เครื่องบินพาณิชย์ขึ้นลงได้เฉพาะช่วงเช้า ไม่เกิน 9 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น แต่ถ้าหากว่าโชคร้าย เจอสภาพอากาศที่แปรปรวน เที่ยวบินนั้นอาจต้องดีเลย์ หรือเลวร้ายที่สุด คือ ถูกยกเลิกเที่ยวบินในวันนั้น

ข้อควรระวังอย่างหนึ่ง คือ เลห์มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,500 เมตร คนพื้นราบที่ต้องเดินทางไปในที่สูงอย่างรวดเร็วอาจเกิดอาการแพ้ที่สูง ดังนั้นช่วงที่อยู่เลห์จึงจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เพราะต้องพยายามเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ เพราะสภาวะที่ออกซิเจนต่ำทำให้เหนื่อยง่าย

วันที่หนึ่ง นอน

เมื่อเดินทางมาถึงเลห์ การเข้าพักกับเจ้าของบ้านในลักษณะเกสต์เฮาส์เป็นที่นิยมไม่น้อยสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะได้รับการต้อนรับเหมือนคนในครอบครัว ยังจะได้รับรู้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวเลห์ด้วย อยู่ติดกับย่านการค้าหลักของเมือง (Main bazaar) เป็นแหล่งของฝาก ของใช้ส่วนตัว อาหาร ร้านกาแฟ และอีกมากมาย สำหรับคนไทยที่ไปเที่ยวเลห์ นิยมไปพักที่ Lee-yul guesthouse ของนาย Saleem ขึ้นชื่อเรื่องบริการที่ดี ราคาเป็นมิตร และการต้อนรับที่อบอุ่น

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย วัดติ๊กเซ่บนเนินเขา

 

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้เวลาท่องเที่ยว 8-10 วัน เพราะต้องค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายจากความสูง ตั้งแต่ระดับ 3,500 เมตร ไปจนถึง 5,600 เมตร โดยเริ่มจากเที่ยวในเมือง เที่ยวรอบเมือง เที่ยวนอกเมือง ไปหุบเขา และจบที่ทะเลสาบ

เมื่อเดินทางมาถึงเลห์ สิ่งแรกที่ควรต้องทำ คือ นอน เพื่อพักผ่อนให้ร่างกายได้ปรับตัวกับสภาพความสูง และออกซิเจนที่มีอยู่น้อยนิด คนเมืองร้อนจากไทยนิยมอาบน้ำก่อนนอน แต่วันแรกขอย้ำไว้เลยว่า อย่าเพิ่งอาบ เพราะการอาบน้ำจะทำให้สูญเสียออกซิเจนจากร่างกายได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการได้พักผ่อน 4-5 ชั่วโมง หลังจากนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน จะทำให้สดชื่นขึ้น จากนั้นค่อยออกไปเที่ยวชมเมืองใกล้ๆ ดูชีวิตยามเย็นของชาวเมือง ดูการค้าขายริมทางชมร้านขายของที่ระลึก พร้อมทั้งชิมอาหารท้องถิ่นอย่าง โมโม่ บัตเตอร์โรตีจิ้มแกงแบบอินเดีย

วันที่สอง บันไดวัง

เมื่อร่างกายเริ่มชินกับความสูง ตารางวันนี้จึงเป็นการเดินทางเที่ยวรอบ โดยรถฟอร์ดคันใหญ่ พร้อมคนขับรถชาวมุสลิมนาม Filot เราออกเดินทางสายๆ ไปหยุดที่พระราชวังเช (Shey palace) พระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์แห่งลาดักห์ ทางขึ้นพระราชวังเป็นทางขึ้นเขาลาดชัน ต้องเคลื่อนไหวแบบช้าๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายรับภาระมากเกินไป เวลาส่วนมากหมดไปกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์มุมสูงที่สวยงามแปลกตา ท้องฟ้าสีฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ก้อนเมฆสีขาว ตัดกับภาพภูเขาสีน้ำตาลเข้มในฤดูร้อน ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย ตลาดการค้าหลักของเลห์

 

จากพระราชวังเช ขับรถต่อไปไม่นานจะพบกับ วัดติ๊กเซ่ (Thiksey Monastery) วัดทิเบตในนิกายหมวกเหลือง อายุ 500 กว่าปี นิกายเดียวกับที่องค์ดาไลลามะนับถือ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรยสูงเท่าอาคาร 2 ชั้น ไม่ไกลจากวัดแรก เราจะได้พบกับวัดเฮมิส (Hermis Monastery) วัดทิเบตนิกายหมวกแดง ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1998 อายุ 450 ปี โดยทั้งสองวัดมีความงดงามตามแบบฉบับวัดทิเบต นิยมสร้างอยู่บนเนินเขา

จากนั้นสิ้นสุดวันที่ พระราชวังสต๊อก (Stoke Palace) ในพระราชวังมีร้านชากาแฟที่วิวดีที่สุดในเมืองเลห์ เพราะตัวร้านอยู่บนดาดฟ้า การนั่งดื่มชาร้อนๆ พร้อมบรรยากาศวิวที่สวยงามของเมืองเลห์ ช่วยให้อาการเมื่อยล้าจากการปืนขึ้นบันไดมาทั้งวันบรรเทาได้เป็นอย่างดี

วันที่สาม ทะเลทราย

การเดินทางวันนี้ต้องไปพักแรมที่ หุบเขานูบร้า (Nubra Valley) หุบเขาทางตอนเหนือของเลห์ ที่มีอากาศอบอุ่นกว่า และทำการเพาะปลูกได้มากกว่า ทั้งยังมีความสวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของแคว้นลาดักห์

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย ภายในวัดเฮมิส

 

แต่กว่าจะได้ยลโฉมความงามเหล่านั้นต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง ซึ่งทางสัญจรไปแทบจะไม่สามารถเรียกว่าถนนได้ เพราะถนนถูกโรยด้วยหินจากภูเขา เป็นลางลูกหิน ข้างหนึ่งเป็นภูเขาสูง อีกข้างหนึ่งเป็นหน้าผาสูง ความกว้างของถนนมีแค่ให้รถ 2 คันเบียดกัน โดยเส้นทางจากเลห์ช่วงต้นมาที่หุบเขานูบร้า จะเป็นทางลาดยางบนหุบเขา จนกระทั่ง 1 ชั่วโมง ก่อนจะผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลกอย่าง ถนนคาดุงลาพาส (Khardung La Pass) ซึ่งมีความสูง 5,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล เส้นทางจะเป็นทางลูกหินทั้งหมด ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ในการผ่านจุดนี้ไปได้ และหลังจากผ่านเทือกเขาหินสลับซับซ้อนนับ 6 ชั่วโมง เราก็ได้เดินทางมาถึงจุดหมายแรกของวันนี้ 

ทะเลทรายฮุนด้า (Hunder Sandune) เป็นทะเลทรายสีขาว มีภาพหลังเป็นทิวเขาสูงใหญ่ กิจกรรมยอดฮิตคือ ขี่อูฐ เที่ยวทะเลทราย และชมพระอาทิตย์ยามเย็นที่วัดดิสกิต (Diskit) วัดเก่าแก่และใหญ่ที่สุดในแถบนูบร้าวัลเล่ห์ สำหรับที่พักเราได้พักผ่อนในที่นอนอบอุ่น ได้รับการบริการที่เป็นมิตร ได้ชิมอาหารอินเดียรสเยี่ยม จาก Nubra Ecolodge ที่พักสไตล์ซาฟารีเต็นท์ ที่ทำให้พบว่านี่เอง คือ ความสุขที่สามารถสัมผัสได้

วันที่สี่ มุมสูง

การเดินทางกลับจากนูบร้าวัลเล่ห์ยังคงต้องใช้เส้นทางเดิมกับขามา เราสามารถทำเวลาได้ดีทำให้พอมีเวลาเหลือไปเที่ยวตัวเหมืองเลห์ จึงเลือกไปชมวิวมุมสูงที่ เจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) เจดีย์ที่สร้างโดยญี่ปุ่นเพื่อเป็นการประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก บนนี้เราจะสามารถมองเห็นพระราชวังเลห์ (Leh Palace) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับพระราชวังโปตาลาในทิเบตได้อย่างชัดเจนในระยะไกล

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย วิวระหว่างทางไปหุบเขานูบร้า

 

วันที่ห้า พระจันทร์

มุ่งหน้าออกจากเมืองทางตะวันตกของเลห์ เพื่อไปเยี่ยมชมวัดที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ชื่อ วัดลามายูรู (Lamayuru Monastery) โดยเส้นทางที่สามารถต่อไปยังแคชเมียร์ได้ ถนนหนทางในวันนี้มีความแตกต่างจากเส้นทางไปนูบร้าวัลเล่ห์ เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาและทะเลทราย บรรยากาศคล้ายถนนบนดาวอังคาร

จุดแรกที่ไปคือ หุบเขาแรงดึงดูด (Magnetic Hill) เป็นเส้นทางพิศวงที่พร้อมจะดึงดูดรถทุกคนเข้าไปที่หุบเขานี้ ในฤดูร้อนหุบเขาจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไร้สีขาวของหิมะ และสีเขียวของต้นไม้ ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม ถัดมาไม่ถึงชั่วโมง จะพบเส้นทางบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย ที่มีสีต่างกันเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ได้แก่ แม่น้ำสินธุ และแม่น้ำซันสการ์ ที่จุดชมวิวซางกัม (Sangam View Point)

 ระหว่างที่ขับรถเลียบเขา และแนวแม่น้ำที่บรรจบกัน สามารถพบวัดทิเบตสำคัญอีก 2 วัด คือวัดลิกีร์ (Likir) วัดขนาดกลางประจำชุมชน และวัดอัลชิ (Aichi) วัดเก่าแก่ เป็นที่ประดิษฐานพระเก่าแก่ของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งจุดหมายปลายทางของวันนี้ วัดลามายูรู (Ramayuru Monastery) สิ่งบ่งชี้ว่าเราใกล้มาถึงวัดแล้ว นั่นคือ ภูมิประเทศแปลกตาที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ทำให้บริเวณนั้นมีลักษณะคล้ายพื้นผิวดวงจันทร์ (moonland) โดยด้านหลังของดวงจันทร์เผยให้เห็นวัดเก่าแก่ที่สุดบนยอดเขา ซึ่งเป็นที่หมายสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาพระธรรมคำสอน และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย ถนนขรุขระก่อนถึงน้ำพุในนูบร้า

 

วันที่หก ทะเลสาบ

จุดมุ่งหมายสุดท้ายของทริปนี้ คือ การพิชิตทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก ทะเลสาบปากอง (Pangong Lake) อยู่ทางตะวันออกของเมืองเลห์ เส้นทางไปนับว่าโหดร้ายกว่าทุกเส้นทางก่อนหน้า เพราะเป็นถนนที่เอาลูกหินมาเรียงต่อกันให้รถพอวิ่งไปบนไหล่เข่า

ระยะทางจากเลห์ไปทะเลสาบปากองไม่ไกลมากนัก แต่ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่เช้าถึงเย็น โดยรถจะไต่จากพื้นราบไปจนถึงชังลา พาส (Chang La Pass) ถนนที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,425 เมตร มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ระหว่างทางจะเห็นวิวภูเขาสูงสลับทุ่งหญ้า เห็นฝูงสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น จามรี ม้า แพะ และวัว

เมื่อไปถึงทุกคนต่างทึ่งกับสีน้ำเงินเข้มของทะเลสาบปากอง ขนาดใหญ่กินพื้นที่ 2 ประเทศ คือ อินเดีย และจีน (ทิเบต) สูงจากระดับน้ำทะเล 4,320 เมตร ซึ่งสีของน้ำจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของแสงอาทิตย์ แต่จะสวยงามที่สุดในตอนเช้า เพราะแสงแดดจะทำให้น้ำในทะเลสาบเป็นสีน้ำเงินเข้ม และส่องแสงระยิบระยับ

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย หุบเขาแห่งแรงดึงดูด

 

วันสุดท้าย

เลห์ ลาดักห์ ทำให้เราได้ตระหนักว่า ธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่  และตัวเราช่างตัวเล็กจ้อยเหลือเกิน เมืองอยู่ห่างไกลทำให้ความเจริญเข้าไปไม่ถึงนัก ความสะดวกสบายจึงมีแค่ขั้นพื้นฐาน สิ่งที่ฟุ่มเฟือยต่างๆ ดูไม่จำเป็น สัญญาณอินเทอร์เน็ตมีเพียงวันละไม่กี่นาที ทำให้มีเวลานั่งคุยกันมากขึ้น แชร์ความสุขกันมากขึ้น และมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น

เมื่อกลับถึงเมืองไทย ถ้ามีใครเข้ามาถามว่าไปเที่ยวเลห์ ลาดักห์ เป็นอย่างไร พวกเราจะตอบกลับไปว่า ลองเดินทางไปดูความสวยงามของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง แล้วจะรู้ว่าทำไมถึงต้องไปที่นี่สักครั้งในชีวิต

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย จามรีเลี้ยงตามธรรมชาติ

 

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย สีน้ำเงินเข้มของทะเลาบปากอง

 

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย ถนนชังลาพาส

 

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย ริมทะเลสาบปากอง

 

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย ลามะน้อยวัดลามายูรู

 

จงโบกสะบัดไปเถิด ธงมนตราเอ๋ย แพะระหว่างทางไปทะเลสาบปากอง

 

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ