พิธีรัก (Love Ritual)
โดย...ดร.ต้อง เดอะ ฟิลเตอร์ ภาพ เอเอฟพี
โดย...ดร.ต้อง เดอะ ฟิลเตอร์ ภาพ เอเอฟพี
เรื่องนี้หากไม่อธิบายจะเข้าใจยาก แต่เชื่อหรือไม่ก็ตาม เราต่างมี “พิธี” รักคนใกล้ตัวเรา
พิธีที่ว่านี้ไม่ต่างจากพิธีกรรมที่เรามักทำเพื่อเป็นสิริมงคล ถ้าไม่ได้ทำ มันจะรู้สึกหงุดหงิด เหมือนชีวิตมันขาดอะไรไป พิธีรักไม่ต่างจากพิธีกรรมทางศาสนาที่เราทำวันนี้ เพราะมันก็คือสิ่งที่เราเห็นแต่เด็ก เราก็เลยต้องทำ พิธีรักจึงไม่ต่างจากพิธีกรรมทางศาสนาของครอบครัว ทุกคนสอนให้เรารักแบบนี้ และทำซ้ำๆ จนเป็นพิธี จนเราจำได้ว่า นี่คือ รัก...
แล้วเราก็มักจะทำสิ่งนี้ซ้ำๆ กับ “คู่รัก” กับ “ลูก” และกับคนอื่นๆ ทำไปโดยอาจไม่รู้เลยว่า “ผู้รับ” อาจไม่คุ้นกับรักแบบที่เราให้ เพราะเขาไม่เคยทำมันซ้ำๆ ตั้งแต่เด็กเหมือนกับเรา
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น...
บางคนพ่อแม่ชอบสอนให้ทำตาม พอทำตามแล้วพ่อแม่จึงจะอุ่นใจ เราก็อดทำสิ่งนี้กับคู่รัก กับคนใกล้ตัวไม่ได้ บางคนพ่อแม่เวลาปลอบจะจัดใหญ่ ซื้อของแพงๆ พาไปที่หรูๆ ให้เรารู้ว่าเราพิเศษ แน่นอน เราก็อยากทำให้คนรักกับคนใกล้ตัวแบบเดียวกัน (และคาดหวังสิ่งเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน)
บางคนพ่อแม่ชอบปล่อยให้คิดเองแต่เด็ก เราก็อยากรักคนอื่นแบบนี้ คือ ไม่อยากยุ่งมาก กลัวไม่ได้คิดตัดสินใจเอง ส่วนบางคนพ่อแม่กลัวลูกสบาย อยากให้ลำบาก เลยไม่ช่วยอะไรแต่เด็ก อยากเห็นความแกร่งกล้าของลูก ถ้าเราชอบพิธีรักแบบนี้ เราก็มีแนวโน้มจะปล่อยให้คนใกล้ตัวแกร่งแบบเดียวกัน
บางคนพ่อแม่ชอบยุ่งกับเราทุกเรื่อง เราก็อดห่วง อดยุ่งกับคนที่เราใส่ใจทุกเรื่องไม่ได้เช่นกัน
พิธีพวกนี้มันค่อนข้างเสพติด เรารับมายาวนาน เราก็อยากถ่ายทอดต่อ ไม่ต่างจากศาสนา เราบูชาวิธีรักแบบนี้ มันคือ Love Ritual (พิธีกรรมรัก) ของเราไปเรียบร้อย และเรามักไม่รู้ตัวว่า ถ้าไม่ได้รักแบบนี้ เราอาจหงุดหงิด เหมือนชีวิตมันขาดอะไรไปซักอย่าง
ประเด็นที่หนักใจมีอยู่ว่า พอดีเราได้คู่ หรือได้ลูกที่มีนิสัยและเกิดมาในยุคที่พิธีรักมันต่างจากเรามาก และพวกเขาต้องการรักแบบใหม่ ซึ่งไม่อยู่ในพิธีรักที่เราคุ้นชิน เราจะยอมปรับหรือเปล่า? เพราะพิธีรักมันเสพติดพอๆ กับศาสนา เราอาจต้องยอมถอยออกมาดูตัวเอง ผ่านมุมมองคนอื่น หากเขาไม่ชอบวิธีรักแบบเรา และอยากให้เราบางลง เช่น
ลูกเริ่มพูดว่า “แม่จ๋า ห่วงหนูน้อยหน่อย หนูอยากคิดเองบ้าง” เราจะยอมไหม? เพราะเราเสพติดรักเขาแบบห่วงมากเกินไปเรียบร้อย หรือแฟนเริ่มพูดกับเราว่า “ที่รัก เราไม่เคยไปเที่ยวกันสองต่อสองเลยนะ” แต่เรามาจากครอบครัวที่ไม่เคย “สองต่อสอง” ทำอะไรก็ยกโขยงไปทั้งบ้าน และไม่เห็นความจำเป็นของการไปสองคน เนื่องจากไม่อยากจ่ายเงินค่าเที่ยวเพิ่ม เพราะทริปหน้าอาจต้องเอาลูกไปด้วย (ทำไมไม่ไปทีเดียว ด้วยกันเลย? อบอุ่นดีออก) แต่แฟนเรามาจากครอบครัวเล็ก ที่เขาเห็นพ่อแม่ใช้เวลากันสองคนอย่างมีความสุข แล้วเขาอยากได้จากเราบ้าง...เราจะออกจากพิธีรักที่เราชิน เพื่อให้คนสำคัญได้ภูมิใจที่เราเปลี่ยนวิธีรักเขาได้หรือไม่? เพราะแนวโน้มของคนคือ การมองข้ามพิธีรักคนอื่น และยึดเอาพิธีรักตัวเองเป็นหลัก (ไม่ต่างจากความเชื่อทางศาสนา)
หรือบางกรณีอาจเป็นวิธีสื่อสาร เช่น คู่รักอยากให้พูดเพราะขึ้น ไม่ต้องห่วงมากจนอดบ่น อดสอนไม่ได้ แต่เราไม่เคยเห็นคุณค่าของคำพูดตอนเด็ก พ่อแม่เราพูดตรง จัดหนักอย่างเดียว ยุ่งกันทุกเรื่อง เราไม่ชิน เราจะยอมมองคำพูดว่าสำคัญไหม? เราจะยอมลดอาการห่วง สอน บ่นลง ได้หรือเปล่า? เพราะมันอยู่นอกพิธีรักที่คุ้นเคย เป็นต้น
คู่รักหลายคู่เลิกรัก หรือคนในครอบครัวบางทีห่างเหินกันเพราะเจอกันแล้วอดทะเลาะกันไม่ได้ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นค่า จริงๆ อีกฝ่ายไม่เลิกพิธีรักเดิมของตัวเองมากกว่า เพราะใครๆ ก็อยากรักแบบที่ตัวเองชิน ชินจนสบายตัว จนไม่ปรับตัว และไม่เข้าใจกันในที่สุด
บางทีคนดีสองคนก็ทำร้ายกันได้ เพราะรักมันยากตรงที่...เราดันเจอคนที่ต้องการวิธีรักที่เราไม่ชิน
ส่วนเราจะทิ้ง “พิธีกรรม” ได้หรือไม่? เราต้องตอบเอง


