CMRM 4.0
โดย...ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
โดย...ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
Thailand 4.0 คือกรอบแนวคิดของรัฐบาลที่สัมพันธ์กับการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อนำพาประเทศให้หลุดพ้นกับดักประเทศกำลังพัฒนา ไปสู่การเป็น “ประเทศที่มีรายได้สูง” ซึ่งตั้งเป้าว่าต้องเปลี่ยนฐานแนวคิดและเศรษฐกิจต่างๆ ให้ได้ภายใน 20 ปี ซึ่งจำเป็นต้องเพิ่ม GDP โดยเฉลี่ยของประเทศให้ได้มากกว่านี้
ประเทศไทยติดอยู่กับ Thailand 3.0 หรือเน้นการลงทุนอุตสาหกรรมหนักเป็นเวลานาน แต่ปัญหาที่พบคือวัตถุดิบด้านพลังงานปิโตรเลียมจากแหล่งผลิตในประเทศมีความจำกัด การแข่งขันในเรื่องแรงงานและอุตสาหกรรมหนักทำได้ยาก การส่งออกในรูปแบบเดิมต้องพึ่งพาตลาดโลกที่มีความแปรปรวนในด้านต่างๆ
Thailand 4.0 เน้น Value-Based Economy ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี นวัตกรรมด้านต่างๆ ตลอดจนการบริการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย (Tourism-Tech) สร้างรายได้สูง (High Value Service) และใช้อินเทอร์เน็ตเป็นศูนย์กลาง (IoT - Internet of Things)
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงมาก และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการประเมินล่าสุด มูลค่าของทะเลไทยมีมากกว่า 23 ล้านล้านบาท ยังเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ดำเนินการ
ทะเลและชายฝั่งเป็นพื้นที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในด้านการเก็บรักษาธรรมชาติ (ยั่งยืน) และการเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (เศรษฐกิจ) จึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจ Thailand 4.0 ตามแนวคิด CMRM 4.0
CMRM 4.0 (Coastal & Marine Resource Management) เป็นแนวคิดของผม โดยพัฒนามาจากยุทธศาสตร์ของหน่วยงานต่างๆ กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในปัจจุบันและกำลังจะออกมา จากประสบการณ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ตลอดจนข้อมูลทางวิชาการและความคิดเห็นที่ได้รับจากการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย
การปรับตัวสำคัญสุดของ CMRM 4.0 คือเปลี่ยนจากสภาพเชิงรับ “เกิดปัญหาแล้วแก้” กลายเป็นเชิงรุก “วางแผนเพื่อรองรับ” ให้สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังเกิด และ/หรือเกิดแล้วและมีแนวโน้มที่มีมากขึ้น
CMRM 4.0 ไม่ใช่เป็นแผนด้านการพัฒนาเพียงอย่างเดียว แต่เป้าหมายคือการเพิ่มศักยภาพในการรองรับการใช้ประโยชน์ ตลอดจนแนวทางในการรับมือผลกระทบที่อาจเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากภาวะโลกร้อนและจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตามแผนพัฒนาของ Thailand 4.0
อันดับแรก เราต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม เพราะจะเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมหนักที่มีการกลั่นกรองในกระบวนการ EIA อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังอยู่ในพื้นที่เฉพาะบางแห่ง ไม่ได้กระจายทั่วไป เช่น มาบตาพุด แหลมฉบัง ฯลฯ
ภายใต้ Thailand 4.0 การท่องเที่ยวจะพัฒนามากขึ้น กระจายตัวมากขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาในลักษณะ “กลุ่มย่อย” กระจายเป็นหย่อมๆ โดยพื้นที่ซึ่งอาจส่งผลกระทบ แบ่งเป็น “พื้นที่ศูนย์กลาง” (Hub) “พื้นที่หนาแน่นมาก” และ “พื้นที่หนาแน่นปานกลาง”
การท่องเที่ยวในลักษณะนี้จะส่งผลกระทบแบบกระจายเป็นหย่อม และยากต่อการควบคุม เพราะจะไม่จำกัดเพียงเขตใดเขตหนึ่ง อาจไม่มีกระบวนการดูแลกลั่นกรอง เช่น EIA เพราะบางส่วนเป็นโครงการขนาดเล็ก แต่เมื่อรวมกันเป็นจำนวนมาก และ/หรืออยู่ในพื้นที่บอบบาง อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรอย่างรุนแรง
พัทยา เกาะภูเก็ต และเกาะสมุย เป็นพื้นที่ฮับในปัจจุบัน กระบี่และอีกพื้นที่กำลังพัฒนาติดตามมา ในขณะที่อ่าวมาหยา (กรมอุทยานฯ) เกาะไข่ (กรมทรัพยากรทางทะเลฯ) เป็นตัวอย่างชัดเจนสำหรับ “พื้นที่หนาแน่น” ยังมีพื้นที่หนาแน่นอื่นๆ ที่ยังไม่อยู่ภายใต้การดูแลในรูปแบบของกฎหมายที่ชัดเจน เช่น เกาะล้าน (เมืองพัทยา)
CMRM 4.0 จึงต้องวางแผนในการรับมือผลกระทบจากการใช้ประโยชน์โดยดูภาพรวม และใช้แนวคิด Area Base และ Category Base ในการบริหารจัดการ
แนวคิดเป็นอย่างไร? ผมมีข้อเสนอแนะเช่นใดในการยกระดับเพื่อทำให้เกิด CMRM 4.0 ทั้งหมดนั้นต้องรออ่านในครั้งหน้า แต่เพื่อให้แนวคิดนี้เป็นข้อเสนอให้กับทางรัฐบาล ผมได้ขอเข้าพบท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และท่านกรุณารับข้อเสนอ ตลอดจนปรึกษาหารือในประเด็นต่างๆ เพื่อพิจารณาต่อไป ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า CMRM 4.0 จะมีส่วนช่วยในการผลักดันให้การใช้ประโยชน์ทางทะเลอย่างยั่งยืนก้าวไปพร้อมกับ Thailand 4.0 ครับ


