หลงรักการก้าวไปข้างหน้า มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ
ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากไหลไปตามกระแสโลกดิจิทัล กับไม่ลืมที่จะสนุกกับมัน คิดได้ก่อนสนุกก่อน มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากไหลไปตามกระแสโลกดิจิทัล กับไม่ลืมที่จะสนุกกับมัน คิดได้ก่อนสนุกก่อน มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) อินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มรายใหญ่ผู้ให้บริการเกมออนไลน์และเกมมือถือ รวมทั้งระบบจัดการการเงินออนไลน์และอี-คอมเมิร์ซ วันนี้ในวัย 38 ปี เธอคือผู้กุมบังเหียนดูแล 3 ธุรกิจหลักของการีน่าออนไลน์ในไทยที่มียอดขายต่อปีกว่าพันล้านบาท อะไรที่ทำให้สาวเก่งเดินหน้ามาได้ขนาดนี้
มณีรัตน์ เล่าให้ฟังว่า ก่อนตกหลุมรักธุรกิจอินเทอร์เน็ตออนไลน์ เธอเคยแอบใฝ่ฝันอยากเป็นวิศวกรมาก่อน อยากออกแบบและสร้างตึกเจ๋งๆ ให้ได้สักแห่ง ความคิดนี้ไม่มีที่มาที่ไป รู้แต่ว่าวันหนึ่งความปรารถนาก็มาแบบปุบปับ ทั้งที่ในขณะนั้นยังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมด้วยซ้ำ มณีรัตน์ตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“จะเรียนวิศวกรรมโยธาให้ได้ เลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างเดียวเลย ชัดเจนในตัวเองมากว่าต้องเป็นคณะนี้สาขานี้เท่านั้น แต่เพราะคุณแม่มาขอไว้ เนื่องจากห่วงความปลอดภัยในการทำงาน คุณแม่มองว่าเราเป็นผู้หญิงไปทำงานอยู่กลางไซต์งานก่อสร้าง ก็น่ากลัวอยู่นะ คุณแม่กลัวแทนลูกสาวคนสุดท้อง” มณีรัตน์ เล่า
แม่ลูกต่อรองกันไปมากระทั่งที่สุด มณีรัตน์จึงตัดสินใจเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ ศึกษางานวิศวกรรมด้านการจัดการ ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างงานวิศวกรรมและงานด้านบริหารเข้าด้วยกัน ดูแลระบบและประสิทธิภาพสูงสุดของกระบวนการผลิต มณีรัตน์เรียนจบแล้วทำงานทันทีที่โรงงานจิวเวลรี่ส่งออกแห่งหนึ่ง ได้ทำงานและได้ใช้สิ่งที่เรียนมา
“ช่วงแรกไฟแรงมาก สนุกกับงาน และสนุกกับสิ่งที่ทำ ได้ใช้วิชาที่เรียนมาเข้าไปจัดระบบเรื่องการจ่ายงานภายในโรงงาน จัดระบบและดูแลเรื่องการผลิต จ่ายงานให้ช่างที่เหมาะสมกับงานที่สุด”
แล้วก็เป็นตอนที่เจ้านายเจ้าของโรงงานจิวเวลรี่มองลงมาว่า อยากให้วิศวกรคนเก่งย้ายมาทำงานด้านมาร์เก็ตติ้งดูแลเรื่องการตลาดบ้าง เอาล่ะสิ! มณีรัตน์ตัดสินใจ เมื่อผู้ใหญ่มองอย่างนั้นก็คงเพราะเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนเด็กว่าง่ายที่ตกลงรับคำทันที เธอสนุกกับบทบาทใหม่ และกลายเป็นนักขายมือฉมังที่ออกเดินทางไปทั่วยุโรปและสหรัฐในอีกหลายปีต่อมา
ในชีวิตมีกุญแจดอกสำคัญคือการปรับตัว จากฮาร์ดสกิลด้านวิศวกรรม ชีวิตไม่พอแค่นี้หรือพูดอีกทีคือพอแค่นี้ไม่ได้ ชีวิตบอกให้เธอรู้ว่าจะเดินหน้าต่อต้องมีทักษะอื่นอีก โดยเฉพาะซอฟต์สกิลที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการพูดการต่อรอง การคุยการสนทนากับคนหรือคู่ค้า เรื่องพวกนี้ใช้สกิลหรือทักษะที่แตกต่างออกไปทั้งหมด
“มองย้อนกลับไปนี่เป็นเรื่องที่ดี บอกตัวเองว่าเราตัดสินใจถูกแล้ว เพราะการตัดสินใจนี้ที่ทำให้เราได้ปรับตัว ได้เปิดมุมมองอีกด้าน ได้เปิดโลกอีกโลก ได้รู้และได้เห็น เหมือนอีกด้านหนึ่งของสิ่งที่เราเป็น เราได้เห็นมัน”
เส้นเวลาในชีวิตถูกกำหนดด้วยจุดของเวลาในแต่ละช่วงของชีวิต คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าของโรงงานจิวเวลรี่คนเดิมบอกเธอในวันหนึ่งว่า คงถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องไปต่อ เรียนต่อดีไหม เพราะการศึกษาคือสินทรัพย์ที่จะอยู่กับตัวเราไปตลอด บนเส้นเวลาของชีวิตมีจุดของเวลาที่กำหนดไว้ ถ้าเราไม่ไปต่อ เราก็จะหยุดอยู่แค่นี้
ถ้าต้องเรียนต่อก็ต้องเป็นท็อป สคูล เท่านั้น มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก มณีรัตน์ในขณะนั้นอายุ 24 ปี ยื่นเกรดศึกษาต่อปริญญาโทที่คณะบริหารธุรกิจ (MBA) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐ ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมามีนโยบายรับนักศึกษาต่างชาติชาวไทย 1 คนต่อ 3 ปี มณีรัตน์คือหนึ่งเดียวที่เข้าเรียนสแตนฟอร์ดได้ในปีการศึกษานั้น
“ถามตัวเองว่าฝันไปหรือเปล่า เพราะสมัยก่อนที่นี่รับคนไทยเข้าเรียนน้อยมาก สามปีจึงจะรับเพิ่มคนหนึ่ง เราคือหนึ่งเดียวคนนั้น ต้องฝันไปแน่ๆ คิดย้ำไปมา สแตนฟอร์ดสมัยนั้นกดดันมั้ย ต้องตอบว่ากดดันเหมือนกัน แต่บรรยากาศด้านการศึกษาช่วยเหลือกันมากกว่าแข่งขันกัน ทุกคนแข่งกับตัวเอง ที่นี่ไม่ประกาศผลการเรียน นั่นเพราะต้องการให้นักศึกษามุ่งที่การเรียนรู้อย่างแท้จริง”
จากเด็กวิศวกรรมศาสตร์ มณีรัตน์ได้ลองเลือกเรียนวิชาที่แตกต่างออกไป เช่น คอร์ปอเรต ไฟแนนซ์ วิชาบัญชี วิชาเวนเจอร์ แคปิตอล หรือแม้กระทั่งวิชาที่สอนเกี่ยวกับการต่อรองทางธุรกิจ (Negotiation) วิชาพวกนี้เรียนแล้วสนุก ถ้าประกาศเกรดคงไม่คิดจะแตะหรือแหยมเข้าไปนั่งเรียน สาวไทยคนเก่งใช้เวลา 2 ปีก็จบ ไม่เพียงเรียนจบ หากช่วงที่ร่ำเรียนในรั้วสแตนฟอร์ดยังได้เข้าสู่วงการสตาร์ทอัพ (Startup) ก่อตั้งธุรกิจเฮลท์แคร์ที่ประสบความสำเร็จท่วมท้น อัตราเติบโตก้าวกระโดดหลาย 100% ก่อนบินกลับจึงขายต่อให้นักลงทุนอิสระ (Angle Capital)
กลับประเทศไทยได้ย้อนไปทำงานที่โรงงานจิวเวลรี่แห่งเดิมระยะหนึ่ง ต่อมาจึงลาออกมาเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และผู้จัดการด้านการสรรหาทรัพยากรบุคคล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้งกรุ๊ป รวมทั้งเป็นผู้ช่วยอาวุโสบริษัทที่ปรึกษา เดอะ คว้อนท์ กรุ๊ป การย้ายสายงานจากจิวเวลรี่มองในมุมหนึ่งคือ การเปิดกว้างโลกทรรศน์การทำงาน ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของมณีรัตน์
“เพราะอยู่ในจุดนี้ เราต้องเดินทางบ่อย ส่วนใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเดินทางบางครั้งใช้เวลานานเป็นปีๆ ครั้งหนึ่งไปทำงานที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย อยู่ที่นี่ 1 ปีเต็ม แม้ว่าการจราจรบนเกาะจะติดมาก แต่ก็ได้กินไก่ นาซิโกแร็ง และเมนูเครื่องเทศอีกหลายเมนูที่อร่อยมากจริงๆ (ฮา)”
มณีรัตน์เล่าให้ฟังว่า ที่จาการ์ตานี้อยู่นานทำงานนานจนแอบมีร้านโปรดด้วย คือร้านอาหารดังชื่อวารุงนูริ ใครไปเที่ยวเมืองหลวงของอินโดนีเซียอย่าลืมแวะ เพราะอร่อยที่สุด คือพอร์คริพ หรือซี่โครงหมู จานเด็ดของร้านที่เคล็ดลับความอร่อยอยู่ตรงซอสรสเปรี้ยวหวานแสนฉ่ำชุ่ม แค่คิดถึงก็น้ำลายสอแล้วล่ะสิ หลายจานมีรสชาติคล้ายอาหารไทย ข่วยให้หายคิดถึงบ้านได้เหมือนกัน
ชีวิตส่วนตัวสมรสแล้วกับเพื่อนรุ่นพี่สมัยเรียนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานรุ่นคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทั้งๆ ที่ตอนเรียนหนังสือแทบจะไม่รู้จักกันเลย หากมารู้จักรู้ใจกันก็เมื่อเรียนจบ และเข้าทำงานที่โรงงานจิวเวลรี่ที่ทำงานแห่งแรกของทั้งคู่นั่นเอง ปัจจุบันมีโซ่ทองคล้องใจ 1 คน คือน้องวินท์ หรือ ด.ช.วินท์ เพทายบรรลือ อายุ 6 ขวบ สุดยอดดวงใจของคุณแม่
สำหรับชีวิตการทำงาน มณีรัตน์ให้ความสำคัญกับการเดินหน้าทางธุรกิจการีนา ออนไลน์ฯ มี 3 ธุรกิจหลักคือดิจิทัลคอนเทนต์ เปย์เมนท์ออนไลน์ และการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ทั้งสามสายธุรกิจของการีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จะต้องตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เชื่อมต่อโลกสังคมออนไลน์แบบ 360 องศา ทั้งข้อมูลการสื่อสารและความบันเทิง
“ปัจจุบันการีนาเป็นผู้นำในตลาดเกมออนไลน์ เราให้บริการเกมชั้นนำที่เป็นที่รู้จักของนักเล่นเกมระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น HoN, Point Blank และ League of Legends รวมทั้งอีกมาก เป้าหมายคือการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดเกม ผลักดันสินค้าและบริการในส่วนนี้อย่างเต็มที่ เพราะแน่นอนว่านี่คือจุดแข็งของเรา”
ขณะเดียวกันก็ต่อยอดธุรกิจให้บริการระบบจัดการเงินออนไลน์ (Payment) ทั้งช่องทางเคาน์เตอร์ชำระเงิน 7 หมื่นร้านค้าทั่วประเทศ ก่อนจะพัฒนาสู่โมบายแอพพลิเคชั่น ภายใต้ชื่อ AirPay Wallet ที่สามารถเติมเงินในเกม เติมเงินมือถือและพัฒนาจนสามารถชำระบิลค่าบริการสาธารณูปโภคได้ทั้งหมดทั้งค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ รวมถึงการซื้อตั๋วหนัง ตั๋วเครื่องบิน ส่วนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น “ช็อปปี้” (Shopee) แพลตฟอร์มออนไลน์บนมือถือที่ซื้อขายได้รวดเร็วภายใน 30 วินาที
มณีรัตน์ กล่าวว่า นี่คือปีการดำเนินงานที่ 5 ของการีนาฯ ในประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคืออัตราการเติบโต 20-30% ต่อปี ส่วนในอนาคต 5 ปีข้างหน้าคือ เป้าหมายคือการเชื่อมโยงข้อมูลและผู้คนในชุมชนออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ความต้องการไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ก้าวเดินต่อภายใต้นโยบาย “คอนเนคติ้ง เดอะ ดอท” การเชื่อมโยงจุดต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์และแบ่งปัน ทั้งคน ข้อมูลและบริการ


