posttoday

‘บึงหญ้าป่าใหญ่’ คลาสสิกอมตะนิรันดร์กาล

07 สิงหาคม 2559

“ย่างเข้าฤดูฝน ต้นอะไรๆ ก็พากันรีบงอก แตกใบอ่อนๆ ออกมาจนดินไม่มีที่ว่าง หลังจากฝนสาดซัดพื้น

โดย...พรเทพ เฮง

“ย่างเข้าฤดูฝน ต้นอะไรๆ ก็พากันรีบงอก แตกใบอ่อนๆ ออกมาจนดินไม่มีที่ว่าง หลังจากฝนสาดซัดพื้น ปลุกเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่นอนฝังดินให้ตื่นมาโป่งหน่อแตกใบ ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยลูกพืชแย่งกันขึ้น พวกลูกมะขามเทศ ทั้งมะขามเปรี้ยวก็เขียวพรึบเป็นลานอยู่เต็มใต้ต้นแม่ของมัน ต่างพากันหยั่งรากใสๆ ลงไปให้ลึกตอนที่ดินยังอ่อนนุ่มอยู่ด้วยน้ำฝน แล้วม้วนตัวอายๆ ขึ้นมาชูเม็ดเปิดเหมือนปีก

พวกเถาวัลย์ที่ชูต้นตรงกับเขาไม่เป็น ก็เลื้อยทอดยอดออกไปไม่ยอมหยุด อยากให้แมลงปอเกาะ ทุกข้อแตกใบไม่บกไม่พร่อง เข้าคลุมกิ่งไม้แห้งและต้นไม้ตายให้ดูเป็นพุ่มสีเขียว คืนกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่”

คำพรรณนาในบทแรกของนวนิยาย “บึงหญ้าป่าใหญ่” ได้ช่วยสะกดถึงความหมายของถ้อยคำที่มองลึกเข้าไปบนพื้นดินในต้นไม้ใบหญ้า ปวงแมลง มวลอากาศแห่งฤดูฝนได้อย่างแจ่มชัดกระจ่างกลางใจของคนที่อ่าน มีความลื่นไหลและจังหวะคำและถ้อยความอยู่ในตัวเอง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สัมผัสได้

‘บึงหญ้าป่าใหญ่’ คลาสสิกอมตะนิรันดร์กาล

 

เทพศิริ สุขโสภา เป็นผู้เขียนนวนิยายเรื่องนี้ ตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารสตรีสาร ปี 2521 และตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเมื่อปี 2522 โดยห้องสมุดเด็ก ศูนย์ศิลปเชียงใหม่ ก่อนที่จะถูกนำมาตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในปี 2549 และกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น หลังจากที่จมหายไปกับกาลเวลามายาวนานถึง 27 ปี อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการที่หนังสือเล่มนี้ได้รับการเลือกให้เป็น 1 ในหนังสือดี 100 เล่ม ที่เด็กและเยาวชนควรอ่าน ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่ต้องอ่านก่อนโต คัดสรรโดยนักอ่าน นักเขียน ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวาดภาพประกอบ ครู ผู้ปกครองเด็ก เจ้าของร้านหนังสือ บรรณาธิการ บรรณารักษ์ นักกิจกรรมการอ่าน จำนวน 30 คน

เทพศิริเกิดที่หมู่บ้านย่านยาว ต.ย่านยาว อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย เมื่อปี 2486 เป็นทั้งนักเล่านิทาน ศิลปิน และนักเขียน เรียนจบจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ผ่านการทำงานศิลปะหลากแขนงมาตั้งแต่ปี 2511 ไม่ว่าจะเป็นดนตรี การแสดง สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ฯลฯ ปัจจุบันยังแข็งแรงและวาดภาพ เล่านิทาน และวาดภาพเหมือนแจกจ่ายคนที่เขาพบเจอแบบเฉียบพลันอยู่เสมอ

จากสำนวนการเขียนที่สวยงามและชวนให้จินตนาการถึงความสวยงามของธรรมชาติแล้ว ยังมีความสวยงามของภาษาที่เป็นเรื่องจินตนาการเหนือจริงจากการเข้าถึงจินตนาการในมุมมองของเด็ก เรื่องเล่าที่ผ่านมุมมองของตัวละคร “ผม” เป็นกระดูกสันหลังในการดำเนินเรื่อง แต่มีตัวละครอีกตัวที่สำคัญและเป็นพระเอกของเรื่องอย่างแท้จริงคือ “โทน” ที่เปรียบประดุจนักเล่าเรื่องแห่งพงพนาที่สร้างโลกของความจริงกับความฝันให้ซ้อนทับเหลื่อมล้ำเหมือนภาพวาด คล้ายคลานักเล่าเรื่องผ่านความทรงจำและการสืบรับกันมาแบบมุขปาฐะ ประสบการณ์ตรงกับเรื่องเล่าสืบต่อและจินตนาการแบบนักเล่านิทานผสมผสานผูกร้อยกันเป็นเอกภาพเดียวกัน

‘บึงหญ้าป่าใหญ่’ คลาสสิกอมตะนิรันดร์กาล

 

“ฤดูไฟน่ะหรือ อะไรๆ ก็จะติดไฟ ไฟจะลุกไปทั่ว มีไฟทุกสี สีเขียวตองอ่อน สีฟ้า สีดำ สีคราม สีม่วง สีลายๆ ไม่ใช่มีแต่ไฟสีส้มๆ แดงๆ อย่างเดี๋ยวนี้ แล้วก็ไม่ใช่มีแต่ไฟร้อนๆ เท่านั้น ยังมีไฟเย็น ไฟหนาว ไฟอุ่น ก็แล้วแต่ว่าใครจะอยากใช้ไฟแบบไหน หน้าหนาวก็ใช้ไฟอุ่น หน้าร้อนก็ใช้ไฟเย็น เปลวของมันก็มีหลายแบบ ลุกเป็นฝอยๆ เป็นแผ่นบิดพันเหมือนเลื้อยช้าๆ ม้วนเป็นเกลียวไปมา บ้างก็ลุกปลายแหลม บ้างก็ลุกปลายบาน เดี๋ยวนี้เหลือแต่ไฟร้อนๆ สีแดงๆ สะบัดเปลวพรึ่บๆ อยู่แบบเดียว ฉันไม่อยากจะเอ่ยถึง เมื่อก่อนมีไฟอยู่ทั่วไป ในดิน ในน้ำ ก้อนกรวด ก้อนหินติดไฟได้ทั้งนั้น... เมื่อก่อนฤดูไฟเคยช่วยให้ลูกไม้สุก อย่างมันเทศ ฟักทอง ข้าวโพด พอมันแก่แล้วก็สุกหอมคาต้น ที่เหนียวก็จะนิ่ม ที่แข็งก็จะนุ่ม มันเทศจะเนื้อร่วนซุย ฟักทองจะเหลืองหวานอร่อย แล้วเดี๋ยวนี้เป็นไง เราต้องเสียเวลามาต้มไฟก่อนถึงจะกินได้”

เช่นกันตัวละคร “ผม” ซึ่งเป็นเด็กก็มีการบรรยายถ้อยคำผ่านความคิดที่ผ่านภาษาอันฟุ้งจรัสด้วยพลังของความสดชื่นแห่งธรรมชาติอย่างกับสายตาที่มองผ่านภาพวาดลงไปสู่ชั้นสีของสีสันที่ปกคลุมอยู่

“ฤดูฝนอันสดใสปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา ให้ลิ้มรสความลี้ลับแห่งเม็ดฝนเมื่อยามตกต้องแผ่นดิน เพื่อการเกิดใหม่ของพฤกษามาทำให้โลกนี้เป็นอุทยานสีเขียวประดับดอกไม้ ใครหนอจะนึกเชื่อว่าฤดูร้อนเคยมาอยู่ที่นี่ อากาศอุ่นๆ ไม่มีแล้ว ฤดูฝนปัดควันมัวๆ ไปเสียจากฟ้า หน้าฝนกวาดผืนพสุธาเสียใหม่จนไม่เหลือฝุ่น สายน้ำในลำแควไหลเร็วกว่าหน้าแล้ง และเอ่อขึ้นมาถึงครึ่งค่อนฝั่ง ใครจะยั้งเท้าไว้ได้ ใครจะยั้งใจไว้อยู่ ‘ต้นไม้ ต้นไม้’ ผมตะโกน แกกินน้ำฝนอร่อยไหม”

เทพศิริ เคยให้สัมภาษณ์ถึงหนังสือเล่มนี้ของเขาเกี่ยวกับกลวิธีการเขียนไว้ว่า

‘บึงหญ้าป่าใหญ่’ คลาสสิกอมตะนิรันดร์กาล

 

“เราเขียนเรื่องเหมือนเขียนรูป ใช้ตาเห็น แต่ใช้ใจสัมผัส คำมันมาจากความทรงจำ มาจากความรักในภาษา ไม่ได้มาจากอย่างอื่นเลย และ ‘บึงหญ้าป่าใหญ่’ นี้ มันเน้นเรื่องของภาษา เรื่องของการอ่าน เราเติบโตมาอย่างนี้ สมัยเด็กๆ มีแบบเรียนเล่มเก่า ก็ท่องไปสิ ดังทั้งศาลาเรียนที่เรียนร่วมกันทุกชั้น ฝากั้นก็ไม่มี ทุกห้องก็ได้ยินหมด มันก็จดจำกันได้...”

ในการพิมพ์ครั้งล่าสุดของนวนิยาย “บึงหญ้าป่าใหญ่” ภาพประกอบในเล่มมีความเยี่ยมยอดแสดงพลังแสงเงาของภาพวาดขาวดำด้วยดินสอที่ครอบคลุมสะท้อนเรื่องราวของแต่ละบทของนวนิยายได้อย่างหมดจด จะเห็นถึงความสำคัญของแสงในภาพวาดดินสอที่ลุ่มลึกและมีความสำคัญเท่ากับเรื่องเล่าภายในตัวนวนิยายเลยทีเดียว

นอกจากนวนิยายอันเป็นอมตะนิรันดร์กาลเล่มนี้แล้ว ใครที่เคยไปเชียงใหม่และไม่มีที่พักที่นอน บ้านของเทพศิริใกล้กับวัดอุโมงค์ พร้อมเปิดต้อนรับให้กับคนรู้จักและผู้ผ่านทางอยู่เสมอ เป็นที่รู้กันดีในหมู่คนที่อยู่ในแวดวง แม้บางทีเจ้าของบ้านจะไม่อยู่ที่ตัวบ้านก็ตาม แต่ยังเปิดรับแขกผ่านทางอยู่เสมอ นี่คือความเป็นศิลปินของเขาเองที่ไม่มีพรมแดนขวางกั้นน้ำใจ...

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68