posttoday

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า

23 กรกฎาคม 2559

การไปท่องเที่ยวในต่างแดน หากอยู่แต่เพียงเมืองหลวง สิ่งที่ได้สัมผัสก็หนีไม่พ้นกลิ่นอายแห่งความศิวิไลซ์

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

การไปท่องเที่ยวในต่างแดน หากอยู่แต่เพียงเมืองหลวง สิ่งที่ได้สัมผัสก็หนีไม่พ้นกลิ่นอายแห่งความศิวิไลซ์ของเมืองที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว แต่หากต้องการสัมผัสกลิ่นอายความดั้งเดิมของประเทศนั้นๆ คงต้องลองไปลัดเลาะตามต่างจังหวัดดู และเมืองหนึ่งที่น่าสนใจ เหมาะแก่การไปเดินทอดอารมณ์ชมความเก่าและความขลังของประเทศไต้หวัน ก็คือ “ลู่กัง”

ลู่กัง อดีตเมืองเศรษฐกิจสำคัญของไต้หวัน ตั้งอยู่ในมณฑลจังฮว่า เพราะในอดีตที่นี่เป็นท่าเรือสำคัญในการขนส่งสินค้า ขนส่งข้าว น้ำตาล การบูร ไปขายให้กับจีน และขากลับก็รับเสื้อผ้า เครื่องปั้นดินเผาจากจีนกลับมา แต่แล้วตอนอวสานของการเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญก็มาถึง เมื่ออ่าวตื้นเขินเรื่อยๆ ทำให้ท่าเรือที่นี่มีน้ำลึกไม่เพียงพอ ไม่เหมาะกับการนำเรือใหญ่เข้ามาจอด ประกอบกับภายหลังญี่ปุ่นเข้ามา การค้าขายกับจีนผ่านเมืองนี้จึงจบลง และญี่ปุ่นก็ได้ลงทุนสร้างทางรถไฟซึ่งห่างไกลจากลู่กังนัก

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า ผ่านประตูชั้น 2 ของวัดเข้าไปจะเจอชั้นที่ 3 ของวัด

 

มาวันนี้ลู่กังจึงกลายเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก แต่กลิ่นอายความขลังของการเป็นเมืองเศรษฐกิจเก่าก็ยังคงอยู่ และหอมหวนชวนไปเยี่ยมชมยิ่งนัก

จุดแรกในเมืองลู่กัง ที่ใครไปแล้วไม่ได้แวะไปเยี่ยมชมถือว่าพลาด คือ วัดหลงซานซื่อ หรือชื่อแบบไทยๆ ว่า วัดเขามังกร หลายคนที่เคยไปไทเป คงเคยได้ยินชื่อ วัดหลงซานซื่อ อาจสับสนเล็กน้อยที่ได้ยินชื่อเดียวกันแต่อยู่ในลู่กัง แต่รับรองว่าทุกท่านได้ยินไม่ผิด เพราะในไต้หวันมีวัดหลงซานซื่อ ทั้งหมด 6 แห่ง ได้แก่ 1.ไทเป 2.เขตตั้นสุ่ยของนิวไทเป หรือซินเป่ยซื่อ 3.เขตหลินโข่วของนิวไทเป 4.ลู่กัง 5.ไถหนาน และ 6.เกาสง

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า ซอยจับนมที่มีความกว้างของทางแค่ 70 เซนติเมตรเท่านั้น

 

วัดหลงซานซื่อในเมืองลู่กัง ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1786 หรือเมื่อ 230 ปีก่อน โดยภายในวัดประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมที่อัญเชิญมาจากมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน ปัจจุบันถือเป็นวัดหลงซานซื่อที่คงสภาพความสมบูรณ์ดั้งเดิมไว้ได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับวัดหลงซานซื่อทั้งหมดในไต้หวัน และยังได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติด้วย โดยจะเปิดให้เข้าไปสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมพร้อมกับชมความเก่าแก่ของวัดแห่งนี้ได้ตั้งแต่ 09.00-17.00 น. ของทุกวัน

ทั้งนี้ หลายคนที่เคยไหว้พระตามวัดจีนในเมืองไทย อาจจะคิดว่าเข้าไปในวัดหลงซานซื่อก็คงจะพบบรรยากาศไม่ต่างกัน แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีความต่างที่น่าสนใจให้สัมผัสกันอยู่ เช่น จุดที่โดดเด่นที่สุดของตัววัดก็คงจะเป็นเสาหินที่สลักเป็นรูปมังกรในวัด หรือบริเวณที่จุดธูป ไม่ได้ใช้เทียนหรือตะเกียงไฟให้เรานำธูปเข้าไปจุดไฟ แต่จะเป็นโต๊ะจุดไฟโดยเฉพาะ บนโต๊ะมีหลายช่องให้นำธูปหย่อนลงไปในช่องนั้น แล้วเปิดปิดวาล์วจุดไฟเหมือนกับเปิดปิดเตาแก๊สที่บ้านเรา

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า ผ่านทางเข้าวัดหลงซานซื่อไปแล้วจะเจอกับประตูนี้

 

ขณะเดียวกันที่นี่ก็มีเซียมซีให้เสี่ยงทายตามความประสงค์เช่นเดียวกับไทย แต่ตัวเซียมซีมีขนาดใหญ่มาก ชนิดที่ไปยกมาเขย่าให้ไม้แสดงเลขใดเลขหนึ่งหล่นลงมาจากกระบอกคงไม่ไหว แต่ใช้วิธีง่ายๆ แค่หยิบขึ้นมา ส่วนคำทำนายนั้นเป็นภาษาจีนล้วนๆ ดังนั้นจะดีหรือร้ายคงต้องพึ่งพาคนที่เชี่ยวชาญภาษาจีนช่วยแปลให้

ไม่ไกลจากวัดหลงซานซื่อนัก เราสามารถเดินทอดน่องดูวิถีชีวิตอันเงียบสงบและแสนสบายของคนในเมืองกันได้ โดยมีจุดสำคัญที่ควรแวะไปสัมผัส คือ “ซอยจับนม” หรือภาษาจีนเรียกว่า “โมรู่เซียง”

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า บ้านสอนวาดหน้ากากในหมู่บ้านศิลปะ

 

อาจจะตกใจกันบ้างกับชื่อซอยแห่งนี้ แต่ก็เพราะมีที่มาที่ไป เหตุที่เรียกขานกันว่าซอยจับนม เพราะหากใครเดินสวนกันในซอยนี้คงได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันชัดเจนมาก เนื่องจากมีความกว้างของซอยเพียง 70 เซนติเมตร โดยซอยจับนมมีอายุกว่า 200 ปีแล้ว จุดประสงค์หลักของการสร้างซอยนี้ก็เพื่อเป็นทางหนีไฟ ส่วนที่สร้างเป็นทางแคบๆ ชนิดหายใจรดต้นคอกันได้ ก็เพื่อให้ผ่านได้ทีละคน หากผู้หญิงเดินเข้ามาในซอยนี้แล้วเห็นผู้ชายกำลังเดินสวนมาจากอีกทาง คงต้องรีบเอามือป้องกันตัวเองไว้ ไม่เช่นนั้นก็มีสิทธิจะเจอกับปรากฏการณ์ตามชื่อเรียกซอยนี้แน่ๆ 

หลังจากได้ไปเดินวัดดวงสนุกๆ ผ่านซอยจับนมแล้ว จุดต่อไปที่น่าสนใจคือ หมู่บ้านศิลปะลู่กัง หรือลู่กังอี้ซู่ชุน และมีชื่อสวยๆ ภาษาอังกฤษว่า Lukang Artist Village ในสมัยที่ญี่ปุ่นยังปกครองอยู่ หมู่บ้านนี้เคยเป็นหอพักข้าราชการ ต่อมาก็ถูกทิ้งร้างไว้ จนกระทั่งปี 2549 หรือ 10 ปีก่อน ทางมณฑลจังฮว่า ได้นำสถานที่แห่งนี้มาปรับปรุงให้กลายเป็นแหล่งงานศิลปะแห่งแรกในมณฑลจังฮว่า

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า งานศิลปะภายในหมู่บ้านศิลปะ

 

ที่นี่มีบ้านศิลปะหลักๆ 8 หลัง สำหรับจัดแสดงศิลปะแขนงต่างๆ พร้อมกับเปิดให้ผู้คนที่สนใจได้เข้ามาฝึกทำจริง ตัวอย่างศิลปะที่จัดแสดง เช่น การวาดหน้ากาก การทำดอกไม้ประดิษฐ์ ขณะเดียวกันก็จะมีกิจกรรมจัดหมุนเวียนกันไปตามเทศกาลต่างๆ โดยสามารถดูรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ lukangartistvillage

นอกจากเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านศิลปะ ก็ย่อมมีงานวาดศิลปะดีๆ ให้ได้ชื่นชม จนกลายเป็นองค์ประกอบภาพเท่ๆ ให้เหล่าบรรดาคนที่คลั่งไคล้การถ่ายรูปได้ถ่ายกันเพลิน แม้แต่เดินออกจากหมู่บ้านแล้ว ก็คงต้องไปหยุดอยู่บริเวณร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะฝาผนังรอบๆ ร้านถูกแต่งแต้มด้วยภาพวาดที่ชวนให้หยุดแวะ และหากใครยังไม่ได้ไปถึงหมู่บ้านศิลปะ แต่ผ่านมาที่นี่ก่อน อาจจะเผลอเข้าใจผิดไปว่าเป็นหมู่บ้านศิลปะก็เป็นได้

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า ร้านกาแฟที่อยู่ตรงข้ามหมู่บ้านศิลปะ

 

เดินชมวัดก็แล้ว แวะคลายเครียดกับการสัมผัสกับซอยจับนม พร้อมดื่มด่ำกับศิลปวัฒนธรรมที่หมู่บ้านศิลปะลู่กังอิ่มแล้ว แต่หากไม่แวะหมู่บ้านโบราณลู่กัง คงจะไม่ครบเครื่อง           

สำหรับหมู่บ้านโบราณลู่กัง มีชื่อเรียกจีนๆ ว่า ลู่กังเหลาเจี่ย ภาษาอังกฤษ คือ Lukang Old Street โดยกินพื้นที่ตั้งแต่ถนนเหยาหลินลากยาวไปจนถึงถนนผู่โถว ซึ่งนานมาแล้วย่านนี้เคยเป็นย่านการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ส่วนปัจจุบันถูกจัดให้เป็นเขตอนุรักษ์พิเศษ เพื่อรักษาความดั้งเดิมไว้ และกลายเป็นย่านท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดมาเดิน

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า หมู่บ้านศิลปะ

 

ภายในหมู่บ้านโบราณแห่งนี้มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้ามาตั้งเรียงรายให้เลือกซื้อกันเพลิดเพลิน ทั้งของกิน ของใช้ ของที่ระลึก โดยในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะมีร้านรวงมากกว่าวันธรรมดา เช่นเดียวกับจำนวนผู้คนก็หนาแน่นเช่นกัน ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็คงซื้อชานมไข่มุก เครื่องดื่มขึ้นชื่อลือชาของไต้หวันกลับไปสักแก้ว

สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวลู่กัง หากเดินทางมาจากไทเป สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูง HSR มาลงที่สถานีรถไฟความเร็วสูงไถจง จากนั้นต่อรถประจำทางสาย 6936 มาลงที่ป้ายลู่กัง เพียงเท่านี้ก็สามารถเดินชมแหล่งท่องเที่ยวได้ทั่วลู่กังแล้ว ซึ่งถ้าจะให้ดี ควรมีเวลาอยู่ที่นี่อย่างน้อยที่สุด 3 ชั่วโมง ส่วนการเดินไปแหล่งท่องเที่ยวแต่ละจุดในลู่กังแทบไม่ต้องกลัวหลง เพราะตลอดเส้นทางจะเห็นป้ายบอกทิศและระยะทางไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอยู่เป็นระยะ ซึ่งป้ายนี้มีภาษาอังกฤษอยู่ด้วย

เอาเป็นว่าใครมีโอกาสไปเที่ยวไต้หวัน ลองจัดตารางแวะไปเยือนลู่กังดู รับรองว่าจะต้องมนตร์สะกดราวกับกำลังนำตัวเองย้อนสู่อดีตของไต้หวัน โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ไต้หวันประกาศยกเลิกวีซ่าให้ไทยเป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป ทริปหน้าจะได้เที่ยวดีฟรีวีซ่าสร้างความเริงร่ากว่าที่เคยแน่นอน

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า บางตรอกซอกซอยในหมู่บ้านโบราณ

 

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า เดินชมหมู่บ้านโบราณ

 

สูดกลิ่นอายวัฒนธรรม สัมผัสเมืองเก่า ระหว่างทางเดินหมู่บ้านโบราณ

 

ข่าวล่าสุด

ตรวจสอบ 5 วิธีย้ายโรงพยาบาล 'สิทธิประกันสังคม' วันนี้ - 31 มี.ค. 69