ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว ปรัชญาชีวิตแมวๆ ที่ยิ่งใหญ่
แม้จะเคยผ่านงานแปลหนังสือมาไม่มาก หากแต่ ดนัย คงสุวรรณ์ ก็ผ่านงานแปลด้านอื่นๆ มามากโข
โดย...นกขุนทอง ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
แม้จะเคยผ่านงานแปลหนังสือมาไม่มาก หากแต่ ดนัย คงสุวรรณ์ ก็ผ่านงานแปลด้านอื่นๆ มามากโข เพราะอีกหนึ่งอาชีพในหลายหน้าที่ที่เขาทำอยู่ก็คือ นักแปลอิสระ ยิ่งภาษาญี่ปุ่นจัดให้เป็นภาษาที่สองของเขาเลยเทียว เพราะจบการศึกษาปริญญาตรีจากภาควิชาภาษาญี่ปุ่น คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท ภาคการตลาด คณะบริหารธุรกิจ นิด้า และศึกษาต่อระยะสั้นที่มหาวิทยาลัย Osaka University ประเทศญี่ปุ่น
ผลงานแปลด้านวรรณกรรมที่ผ่านมา คือ เรื่องสั้น เงียบงัน ใน ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน (ฮารูกิ มูราคามิ) จนมาถึงงานแปลนิยายญี่ปุ่นที่ทำยอดขายกว่า 7 แสนเล่ม และถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เข้าฉายเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว นิยายเรื่องแรกของ เกนคิ คาวามุระ ผลงานเรื่องนี้ส่งให้ชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนักเขียนรุ่นใหม่ในเชิงความคิดสร้างสรรค์ของญี่ปุ่น
ดนัยเป็นบรรณาธิการนิตยสารภาพยนตร์ ฟรี ก๊อบปี้ Tick A Seat และเขียนบทความต่างๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ ดังนั้นเมื่อต้องมาแปลนิยายที่ไม่ใช่งานแปลเอกสารธุรกิจทั่วๆ ไปที่คุ้นเคยกว่า ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวนัก “ในทฤษฎีส่วนตัวผม การที่เรามีประสบการณ์ด้านการเขียน คนที่เขียนหนังสือได้จะสามารถถ่ายทอดความค่อนข้างดี แปลออกมาได้ดีกว่าคนที่เก่งภาษา แต่ถ้าเราได้ภาษาแล้วเขียนหนังสือได้สื่อสารเป็น มันทำให้การเล่าเรื่องออกมาได้อรรถรส น่าติดตาม และจับใจความได้ดีกว่า การแปลไม่ใช่ถูกต้องในเชิงความหมายเท่านั้น แต่ต้องถูกต้องในเชิงอารมณ์ด้วย
อย่างในเรื่องถ้าโลกนี้ไม่มีแมว ผมมีอารมณ์คำที่ติดอยู่นาน หาความหมายแปลได้แล้ว แต่สื่ออารมณ์ไม่ได้ ผมก็ใช้วิธีแปลไปก่อนมาอีดิตตอนที่เสร็จแล้ว อย่างเช่น มีสิ่งหนึ่งในหนังไม่ได้พูดถึงตัวอะโลฮ่า แต่ในนิยายเขาค่อนข้างสื่อมันออกมาในเชิงไม่มีเพศสภาพ เราก็ต้องแปลออกมา ซึ่งมันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่แสดงออกในเชิงความหมาย ไม่ได้มีคำศัพท์ระบุว่าเขาเป็นอะไร แต่แสดงออกในเชิงอารมณ์ให้รู้ว่าตัวอะโลฮ่านั้นไม่ใช่ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ก่อนลงมือแปล ดนัยอ่านหนังสือต้นฉบับก่อน 3 รอบ และก่อนหน้านั้นหลายปีเคยอ่านมาก่อนแล้ว และในขณะที่แปลก็มีเงื่อนของเวลามาจำกัด เพราะหนังสือต้องวางแผงช่วงเดียวกับที่ภาพยนตร์เข้าฉายในประเทศไทย “ผมคุยกับสำนักพิมพ์มานานมากก่อนเข้าสู่การแปล ซึ่งการมาลงตัวตอนนี้ก็ถูกจังหวะที่แมวครองโลก แล้วหนังสือเล่มนี้ก็มีกิมมิกเป็นแมว โดยหน้าหนังสือหรือหน้าหนังก็ตามชวนให้คนเข้าใจแบบนั้น เป็นเรื่องของแมว สร้างความสนใจในคนที่รักแมว แต่เนื้อหาจริงๆ ของมันผมว่ามันเป็นหนังสือปรัชญาเลยนะครับ เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องสนุก อ่านได้หลายรอบ และแต่ละครั้งผมก็ได้ความรู้สึกที่ต่างกัน อย่างครั้งแรก มีดราม่าน้ำเน่าหน่อย หลังๆ มาพูดถึงบทเรียนชีวิต พอมาอ่านครั้งที่สอง อินลึกขึ้น อินกับประโยคที่เจอในหนังสือมากขึ้น แล้วทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเองซึ่งเรื่องไม่เกี่ยวกับนิยายเลย แต่มันชวนให้เรานึกถึงเรื่องการสูญเสีย หรือความทรงจำบางอย่างของเราที่ลืมไปแล้ว ในการแปลเรื่องนี้ เวลามันครุ่นคิดเรื่องปรัชญาต่างๆ บางทีผมอ่านไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะว่าคำมันยาก ก็ถามเพื่อนญี่ปุ่นว่าหมายถึงอารมณ์แบบไหน”
ในขั้นตอนการแปล ดนัยแปลทีละหน้าๆ โดยขั้นแรกเลือกโทนที่จะแปล ว่าจะให้ออกมายังไง เช่น ขำขัน ดราม่า “เรื่องนี้ผมเลือกสองโทนเลย คือ ดราม่าผสมขำขันนิดหนึ่ง เพราะเรื่องในช่วงแรกจะขำๆ แล้วทวิสต์เป็นดราม่าหนักๆ อีกอย่างที่สำคัญคือ วิธีเลือกโทนการพูดของตัวละคร ผมเลือกใช้ตัวเอกมีความสุภาพมากกว่าปีศาจทั้งที่มีหน้าตาเหมือนกัน การเซตโทนเสียงทำให้อารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวจะออกมาเป็นยังไง การใช้คำของตัวละครจะเป็นชุดคำยังไง อันนี้สำคัญ อย่างถ้าเทียบกับภาพยนตร์ก็เป็นการคอนตินิว ในส่วนของการแปลก็เช่นเดียวกัน ตัวละครต้องใช้คำหรือเรื่องของอารมณ์ต้องให้ต่อเนื่อง การเลือกใช้คำเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้โทนและอารมณ์ของเรื่องทั้งหมดเปลี่ยนไปเลย”
ความถูกต้องของภาษาสำคัญก็จริง แต่หน้าที่ของนักแปลต้องไม่ลืมที่จะรักษาน้ำเสียงอารมณ์ของตัวละครไว้ “การแปลความหมายต้องเป๊ะ ต้นทางปลายทาง แต่สิ่งที่เราพอจะมีดัดแปลงได้ คือวิธีการใช้คำต่างๆ เช่น ภาษาญี่ปุ่น กับอังกฤษบางประโยคที่มาเป็นแพสสีฟวอยซ์ เหมือนถูกกระทำ แต่ภาษาไทยมักเป็นแอ็กทีฟมากกว่า เราก็ต้องเปลี่ยน เช่น เป็นที่เชื่อกันว่าแมวมีเก้าชีวิต เวลาเรามาแปลก็เป็น ในหลายๆ ครั้ง คนไทยเชื่อกันว่า แมวมีเก้าชีวิต เราจะเสริมประธานให้ เพราะบางครั้งการไม่มีประธานจะดูแปลกๆ ก็คือการเปลี่ยนรูปประโยคเป็นแอ็กทีฟวอยซ์”
การถอดความภาษาญี่ปุ่นมาเป็นภาษาไทยจากเรื่อง ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว ไม่ใช่เพียงแง่งามในตัวหนังสือ แต่ส่วนของปรัชญาที่สอดแทรกในเรื่องเชิงขำขัน ดูเหนือจริงนั้น กลับสัมผัสใจของมนุษย์ ให้ได้หยุดตระหนักคิดถึงสิ่งที่หายไปและสิ่งที่มีอยู่
“ผมว่าคนเขียนหนังสือเรื่องนี้ฉลาด ฉลาดในแง่ที่ว่า ปัจจุบันนี้โลกหมุนเร็วมาก เรามีเฟซบุ๊ก เราไปสนใจเรื่องทุกอย่างรอบตัวหมดเลย ปรัชญา คำเท่ๆ หมดไปจากกระแสหลักจากสังคมมาพักใหญ่ เราโตมาช่วงที่ตอนเป็นเด็กๆ สงสัยว่าเราเกิดมาทำไม ใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไร ก่อนแปลเราไม่ได้คิดเรื่องแบบนี้มานานมาก จนเรื่องนี้โยนคำถามมาสู่สังคมอีกครั้งหนึ่ง ยุคก่อนมีโซเชียลมีเดียเราคิดมากกว่านี้ มองชีวิตเราซีเรียสมากกว่านี้ แล้วที่ผมว่าฉลาดเพราะเขาโยนกลับมาในแบบที่เอาแมวมาบังหน้า พอแกะออกมาไม่เกี่ยวกับแมว ฉลาดที่ทำให้คนจำนวนมากหันมาคิดเรื่องนี้กันอีกที หลายคนที่มุ่งมาที่แมวเลยอาจผิดหวังว่าไม่เกี่ยวกับแมวเลย แต่สุดท้ายก็บอกว่าเออมันดีกว่าที่คิด การตั้งคำถามกับชีวิตไม่จำเป็นต้องสัญชาติไหน สามารถตั้งคำถามเรื่องนี้ได้หมดเลย เราเกิดมา คนบนโลกเราก็สงสัยเรื่องนี้อยู่ มันฉลาดโยนกลับเข้ามาสู่สังคมอีกทีหนึ่ง”
“แมว” เป็นเพียงสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆ บนโลก ที่ทั้งสลักสำคัญและไม่สำคัญ เพียงแต่เราจะหาความหมาย หาหน้าที่ ความจำเป็นให้มันว่ามีสำคัญมากน้อยกับชีวิตเพียงใด และในขณะที่เรากำลังกังวลกับสิ่งที่ไม่มี เราได้ลืมสิ่งที่มีอยู่ไปหรือไม่


