posttoday

อังกฤษ 2 ต้นแบบประชาธิปไตย

14 สิงหาคม 2553

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า “สวัสดีวันแม่” ย้อนหลังถึงผู้อ่านที่เป็นแม่ทุกท่าน หลังจากเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า “สวัสดีวันแม่” ย้อนหลังถึงผู้อ่านที่เป็นแม่ทุกท่าน หลังจากเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา

โดย...ปวีณา สิงห์บูรณา [email protected]

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า “สวัสดีวันแม่” ย้อนหลังถึงผู้อ่านที่เป็นแม่ทุกท่าน หลังจากเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาตินั่นเอง ทางทีมงานขอให้คุณแม่ทุกท่านมีจิตใจสดใสและสุขภาพแข็งแรง

อังกฤษ 2 ต้นแบบประชาธิปไตย

สำหรับสัปดาห์นี้เรายังคงอยู่กันที่ประเทศอังกฤษ ประเทศที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจ เป็นผู้นำในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร ที่นี่ก็มีกองทัพเรือที่มีศักยภาพ ด้านกีฬาก็เป็นต้นกำเนิดกีฬามากมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเมืองการปกครอง ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็นต้นฉบับของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่หลายประเทศนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รวมไปถึงประเทศไทยของเราด้วย เอาเป็นว่าเราไปติดตามกันว่าต้นฉบับของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร

จากการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์พบว่าประเทศอังกฤษหรือสหราชอาณาจักร มีพัฒนาการของประชาธิปไตยเริ่มตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1688 ซึ่งช่วงนั้นเรียกว่าการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (The Glorious Revolution)โดยรูปแบบระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษนั้น จะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันก็คือ สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 นั่นเอง

ส่วนทางด้านงานบริหารประเทศนั้นก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล และมีระบบรัฐสภาคอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยรัฐสภาของอังกฤษเป็น “ระบบสองสภา (Bicameral Parliament) ประกอบด้วย สภาสามัญ (House of Commons) ซึ่งเป็นสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง และ สภาขุนนาง (House of Loads) ซึ่งจะแบ่งย่อยเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่พรรคการเมืองเป็นคนเลือกเข้ามาตามสัดส่วนที่ได้รับเลือกตั้งในสภาสามัญ และอีกส่วนหนึ่งได้รับตำแหน่งสืบสายมาจากสกุล กล่าวคือ ถ้าพ่อหรือปู่อยู่ในสภาขุนนางมาก่อน ลูกคนต่อๆ ไปก็จะได้ตำแหน่งไปด้วย เป็นการสืบสายตามเชื้อสกุล

ทั้งสองสภามีภารกิจที่คล้ายคลึงกัน คือการตรากฎหมาย ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและอภิปรายเรื่องต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อประเทศ โดยปกติเมื่อมีมติออกจากสภาใดอีกสภาหนึ่งจะทำหน้าที่ให้ความเห็นชอบ ซึ่งเป็นลักษณะของการตรวจสอบและการคานอำนาจซึ่งกันและกัน และดูเหมือนว่าระบบรัฐสภาจะเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดของการเมืองในอังกฤษ เพราะรัฐสภามีอำนาจในการลงมติ หรือยกเลิกพระราชบัญญัติใดก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพระราชบัญญัติที่ถูกตราขึ้นโดยรัฐสภาจะถือเป็นกฎหมายสูงสุดที่ไม่มีกฎหมายใดมีอำนาจเหนือกว่า

อังกฤษ 2 ต้นแบบประชาธิปไตย

อังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอะไรกำหนดตายตัวเรื่องการเลือกตั้ง แต่มีธรรมเนียมว่ารัฐสภาจะต้องเลือกตั้งกันอย่างน้อยทุก 5 ปี หัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้ที่นั่ง สส.ในสภามากที่สุด จะได้รับโอกาสให้จัดตั้งรัฐบาลก่อนพรรคอื่น และคนที่จะสามารถทำการลงคะแนนเลือกตั้งได้ก็ต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

สำหรับการเลือกตั้งที่อังกฤษครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และต้องบอกว่าเป็นการเลือกตั้งที่จะต้องมีการพูดถึง และถูกจดบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกครั้ง เพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้นำมาซึ่งรัฐบาลผสมชุดแรกในรอบ 30 ปี และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พรรคอนุรักษนิยมกับพรรคเสรีประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน

พรรคการเมืองของประเทศอังกฤษจะมีพรรคใหญ่อยู่ด้วยกัน 3 พรรคการเมือง คือ พรรคอนุรักษนิยม (Conservative Party) พรรคแรงงาน (Labour Party) และ พรรคเสรีประชาธิปไตย (The Liberal Democratic Party) อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้อังกฤษมักจะถูกปกครองโดยพรรคอนุรักษนิยม (Conservative Party) และพรรคแรงงาน (Labour Party) ที่ผลัดกันแพ้ชนะมาโดยตลอด จนกระทั่งมีการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี่เองที่ได้เปลี่ยนโฉมหน้ารัฐบาลของอังกฤษ

อังกฤษ 2 ต้นแบบประชาธิปไตย

ผลของการเลือกตั้งทำให้อังกฤษได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ เดวิด คาเมรอน (David Cameron) ผู้นำพรรคอนุรักษนิยม โดย เดวิด คาเมรอน ถือเป็นนายกฯ คนที่ 53 และมีอายุน้อยที่สุดในรอบ 200 ปี

อย่างที่บอกไว้ว่าด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานทางด้านการเมือง และมีการปลูกฝังเยาวชนเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้ผู้คนที่นี่ ก็มีความเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองตามระบอบประชาธิปไตย

ตัวอย่างของการแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตยของคนอังกฤษ ที่จะเห็นกันอยู่เป็นประจำก็คือที่บริเวณสวนสาธารณะไฮปาร์ก จะมีสถานที่ที่เรียกว่า สปีกเกอร์คอนเนอร์ (Speaker Conner) ซึ่งในพื้นที่ตรงส่วนนี้ประชาชนทุกคนไม่ว่าชาติใดก็มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าความคิดเห็นจะเป็นในลักษณะใดก็ตามจะต่อต้านหรือสนับสนุนทุกคนสามารถไปพูดแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างอิสระ

มากไปกว่านั้นประชาชนชาวอังกฤษยังสามารถที่จะเดินขบวนหรือทำการประท้วงได้อย่างอิสระ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย โดยที่นี่จะมีกฎหมายที่เรียกว่า The Public Order Act ที่ได้วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการชุมนุมในที่สาธารณะไว้ กล่าวคือ แกนนำจะต้องแจ้งไปที่สถานีตำรวจท้องที่ก่อนที่จะมีการชุมนุมหรือเดินขบวน โดยจะต้องระบุรายละเอียดทั้งหมด และต้องแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 6 วันทำการ ซึ่งหลังจากนั้นหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่จะออกใบอนุญาตให้

นอกจากนั้นเราก็ยังพบว่ามีการตั้งเป็นแคมป์การประท้วงในเรื่องต่างๆ ที่บริเวณ Parliament Square อีกด้วย นอกจากนั้นในบริเวณนี้ยังมีรูปปั้นอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษและบุคคลสำคัญของโลกที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็น อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการเลิกทาสและรูปปั้นของเนลสันแมนเดลา อดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ ผู้ที่อุทิศตนรณรงค์ต่อต้านเรื่องการแบ่งแยกสีผิว

สิ่งเหล่านี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยของประเทศอังกฤษได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายประเทศนำไปปรับใช้ คุณผู้อ่านสามารถติดตามรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของประเทศอังกฤษเพิ่มเติมได้ในรายการ “โลก 360 องศา” วันเสาร์นี้ เวลา 21.30 น. ทาง ททบ.5 ห้ามพลาด

ข่าวล่าสุด

พรรคประชากรไทย ชู 4 เสาหลักพลิกฟื้นประเทศ ส่งชิงเก้าอี้ สส.261 คน สู้ศึกเลือกตั้ง‘69