posttoday

หรือการกินสุนัข จะเป็นมาตรวัดใจมนุษย์

05 กรกฎาคม 2559

คนกินเนื้อสุนัขเป็นเรื่องยอมรับได้หรือไม่ เป็นเรื่องของวัฒนธรรมโดยแท้ นั่นหมายถึงว่าหากเปิดใจถกเถียงพูดคุยหลายๆ ด้าน

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

คนกินเนื้อสุนัขเป็นเรื่องยอมรับได้หรือไม่ เป็นเรื่องของวัฒนธรรมโดยแท้ นั่นหมายถึงว่าหากเปิดใจถกเถียงพูดคุยหลายๆ ด้าน มักจบยากและเลยเถิด ความเห็นหลักๆ ฝ่ายหนึ่งคงจบที่ทำใจไม่ได้ อีกฝ่ายคิดเห็นว่าสุนัขไม่ได้พิเศษกว่าสัตว์อื่นจนต้องออกมานั่งต่อต้านการกิน

จะบอกว่าสุนัขผูกพันกับมนุษย์กว่าสัตว์อื่น ก็ถกเถียงได้ว่าถ้าชาวนาอาจผูกพันกับวัวควายมากกว่า แล้วจะเอาความผูกพันของตัวเองมาผูกมัดคนอื่นได้หรือไม่

จะบอกว่าเป็นมิตรและซื่อสัตย์กับมนุษย์ที่สุดก็คงจะมีคนถามว่าเคยให้หมูเป็นสัตว์เลี้ยงกันไหม จะบอกว่าเพราะสุนัขมีคุณค่าต่อจิตใจมนุษย์ ก็คงต้องเห็นใจชาวฮินดูมากกว่าเพราะทุกวันนี้ผู้คนกำลังนิยมทานเทพเจ้าของชาวฮินดูอยู่ (โดยไม่เคยมีข่าวชาวฮินดูมีสิทธิออกมาเรียกร้องอะไร) จะบอกว่าเพราะมันเป็นสัตว์เลี้ยง ก็คงจะต้องห้ามเมนูกระต่าย นกทุกชนิดในร้านอาหารทั่วโลก จะบอกว่าพ่อแม่ไม่เคยกินก็คงต้องบอกกลับว่าแทบทุกวัฒนธรรมล้วนมีประวัติศาสตร์การกินสุนัขทั้งสิ้น

และส่วนหนึ่งก็เพิ่งลด ละ เลิก และตั้งแง่รังเกียจต่อต้านกันมาไม่นานนี้เอง วัฒนธรรมที่เลิกทานเนื้อสุนัขอันดับต้นๆ เห็นจะเป็นวัฒนธรรมของชาวยิวและชาวอิสลาม ซึ่งให้เหตุผลด้านความสกปรกมากกว่าความเป็นมิตร หรือในศาสนาพุทธก็ห้ามกันเฉพาะในหมู่ภิกษุเท่านั้น จีนเองมีบันทึกประวัติศาสตร์อันยาวนานเกี่ยวกับการทานเนื้อสุนัข

วลีเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพลเป็นหลักฐานหนึ่ง

ไม่มีสุภาษิตจีนที่ว่าเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพลในภาษาจีน จะมีก็แต่วลีจีนที่แปลตรงตัวได้ว่า “นกบนฟ้าสูงหมดจึงเก็บธนูคันเก่ง กระต่ายเจ้าเล่ห์สิ้นจึงกินสุนัขล่าเนื้อ” บ้างย่อว่า “นกหมดเก็บธนู กระต่ายสิ้นกินสุนัข (ล่าเนื้อ)

“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” คือวลีที่แปลงให้เข้ากับวัฒนธรรมแบบไทยๆ

หรือการกินสุนัข จะเป็นมาตรวัดใจมนุษย์

ในคัมภีร์ “หลี่จี้” (ว่าด้วยจารีต) ก็มีบันทึกถึงการเซ่นสรวงบูชาด้วยสุนัข คัมภีร์ “โจวหลี่” (จารีตราชวงศ์โจว) บันทึกว่าตับสุนัขเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นยา และในตำรายาโบราณฉบับคลาสสิกของจีนที่ชื่อ “เปิ่นเฉากังมู่” ก็บรรยายสรรพคุณของเนื้อสุนัขว่ามีฤทธิ์ร้อน กินแก้หนาวได้ แต่กินเยอะไปแล้วจะเกิดอาการร้อนใน

อย่างไรก็ดีชื่อชั้นเนื้อสุนัขในจีนจัดเป็นเนื้อระดับล่าง จีนมีสุภาษิตว่า “แขวนหัวแพะ ขายเนื้อสุนัข” หมายถึงพูดจาหลอกลวง โฆษณาเกินจริง จะเห็นได้ว่าเทียบกันแล้วเนื้อสุนัขเป็นเนื้อชั้นล่าง

สมัยราชวงศ์ฉิน การทานสุนัขเป็นเรื่องปกติ ฝานไคว่ ขุนพลใหญ่ของหลิวปัง (ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นต่อจากราชวงศ์ฉิน) ก็เป็นคนขายเนื้อสุนัขมาก่อน ทุกวันนี้แถบเจียงซูยังมีเมนูเนื้อสุนัขที่อ้างอิงชื่อฝานไคว่อยู่

ยังมีบันทึกอีกมากที่ทำให้เห็นได้ว่าการกินเนื้อสุนัขเป็นเรื่องปกติของจีนมานานอย่างน้อย 2,500 ปี (ซึ่งก็ไม่ต่างจากวัฒนธรรมอื่นๆ อีกหลายที่)

การกินเนื้อสุนัขในวัฒนธรรมจีนมีช่วงที่ลดความนิยมไปอยู่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธเข้ามามีอิทธิพลในจีน ในความเชื่อชาวพุทธถือเนื้อสุนัขเป็นหนึ่งในเนื้อต้องห้ามสำหรับภิกษุ ชาวพุทธจึงไม่นิยมทานด้วย

บางคนสันนิษฐานว่า ความเห็นอกเห็นใจไม่อยากกินเนื้อสุนัขมักเกิดขึ้นกับวัฒนธรรมที่เน้นการปศุสัตว์เป็นหลักเพราะสุนัขมักเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของกลุ่มคนในวัฒนธรรมนี้ ส่วนวัฒนธรรมเกษตรกรรมมักไปเห็นอกเห็นใจวัวควายแทน ซึ่งก็น่าจะมีส่วนจริงอยู่

ชาวแมนจูซึ่งเป็นชนเผ่าปศุสัตว์ และใช้ชีวิตอยู่กับการเข้าป่าล่าสัตว์ ไม่ได้ทำเกษตรกรรมมากนัก มีธรรมเนียมไม่ทำร้ายไม่ฆ่าไม่กินสุนัข และไม่ห่มคลุมหนังสุนัข ซึ่งน่าจะเป็นเพราะชาวแมนจูมีสุนัขเป็นเพื่อนร่วมงาน ทั้งล่าสัตว์ ทั้งนำทาง รวมถึงชาวแมนจูก็มีความนิยมเลี้ยงสุนัขไว้ประจำบ้านอีกด้วย

เมื่อชาวแมนจูเข้าปกครองดินแดนจีนในยุคราชวงศ์ชิง ก็ยังคงรักษาธรรมเนียมนี้ไว้ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่เกี่ยวกับชาวจีนดั้งเดิม ชาวจีนในบางท้องถิ่นเรียกเนื้อสุนัขว่า “เนื้อหอม” หรือ “แกะดิน” ชาวจีนเห็นการกินเนื้อสุนัขเป็นเรื่องปกติจนไม่นานมานี้นี่เอง ส่วนหนึ่งมาจากความนิยมเลี้ยงสุนัขที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศจีนเอง

รัฐบาลจีนเริ่มเข้ามาจัดการรสนิยมการกินเนื้อสุนัขของประชาชนอย่างเป็นทางการก็เมื่อปี 2008 ที่จีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ซึ่งทางรัฐได้ “ขอความร่วมมือ” ให้ร้านอาหารจำนวนมากยกเลิกเมนูเนื้อสุนัข ในช่วงเวลาการแข่งขัน

ขณะที่ฮ่องกงกำหนดให้การขายเนื้อสุนัขและแมวเป็นเรื่องผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 1950 และไต้หวันออกกฎหมายนี้ในปี 2001 ซึ่งก็มีคนไม่เห็นด้วยแต่ต่อต้านกฎหมายนี้อยู่ไม่น้อย

ไม่เพียงจีนเท่านั้นที่ยังคงมีวัฒนธรรมการทานเนื้อสุนัข ประเทศในวัฒนธรรมตะเกียบแทบทุกชาติก็มีประวัติหรือไม่ก็ยังมีรสนิยมการกินสุนัขอยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกาหลี เวียดนาม ส่วนประเทศนอกวัฒนธรรมตะเกียบก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่เว้นกระทั่งสวิตเซอร์แลนด์

ทั้งนี้ทั้งนั้นคำว่ายังมีอยู่ไม่ได้หมายถึงคนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นๆ นิยม ที่จริงแนวโน้มความนิยมกินเนื้อสุนัขก็ลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่

ปัจจุบันในจีนแผ่นดินใหญ่มีเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ยังนิยมทาน ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่เคย ไม่กล้า หรือแค่เคยทานมาบ้างเท่านั้น บางคนเห็นเป็นรสนิยมทางเลือกส่วนบุคคล ร้านขายอาหารที่มีเมนูเนื้อสุนัขยังหาได้ตามเมืองชั้นรองๆ

จะเป็นเรื่องใหญ่โตก็ตรงที่ชาวบ้านในเมืองอวี้หลิน มลฑลกว่างซีร่วมกันเอาธรรมเนียมของตนจัดขึ้นมาเป็นเทศกาลกินสุนัขเคล้าลิ้นจี่ขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้กลายเป็นจุดสนใจและเกิดเสียงประท้วงขึ้นในระดับนานาชาติ

รัฐบาลจีนรีบออกโรงในทันทีว่า “ฉันไม่เกี่ยวนะ ชาวบ้านจัดกันเอง”

เทศกาลนี้เริ่มจัดขึ้นในช่วงวันที่ 21 มิ.ย. ซึ่งเป็นช่วง Summer Solstice ที่มีเวลากลางวันยาวนานที่สุดของปี และมีช่วงเวลายาวนาน 10 วันเต็ม ซึ่งมาจากความเชื่อเกี่ยวกับการกินอยู่ให้ถูกหลักวัฏจักรธรรมชาติ ชาวบ้านมีความเชื่อว่าช่วงเวลานี้ธาตุหยาง (ธาตุร้อน) ขึ้นสูงสุด การกินเนื้อสุนัขและลิ้นจี่ซึ่งมีธาตุหยางทั้งคู่ คือการใช้ธาตุหยางเข้ากำกับธาตุหยาง ใช้เนื้อสุนัขแกล้มลิ้นจี่เป็นเกลือจิ้มเกลือ

ผู้คนที่รณรงค์ต่อต้านการกินสุนัขจึงถาโถมทั้งประเด็นเรื่องความเห็นใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสุนัข ทั้งที่มาของสุนัขที่ถูกฆ่าในเทศกาลที่ต้องสงสัย จับจากข้างถนน ขอซื้อจากสุนัขเลี้ยงตามบ้าน หรือแม้กระทั่งอาจจะขโมยมา ซึ่งล้วนน่าหดหู่ รวมถึงความโหดร้ายของการขนย้ายสุนัขที่ยังมีชีวิตจนถึงกระบวนการฆ่า

หรือบ้างอ้างว่า มนุษย์ไม่ควรมีเทศกาลฆ่าหมู่สัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งกันแบบนี้

ในเหตุผลนี้ก็อดนึกถึงเทศกาลกินไก่งวงไปไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงฝรั่งเองก็มีกลุ่มรณรงค์ต่อต้านเทศกาลกินไก่งวงอยู่เหมือนกัน

เอาเข้าจริงๆ การรณรงค์ให้เลิกกินเนื้อสุนัขอย่างเป็นทางการมักยืนหยัดอย่างเป็นทางการอยู่ได้แค่การเลิกจับหรือฆ่าอย่างทรมานเท่านั้น เพราะหากถกกันด้วยเหตุผลต่างๆ ก็ไม่สามารถคัดง้างว่าสุนัขพิเศษกว่าสัตว์อื่นตรงไหน ที่จะให้สิทธิใคร “สั่ง” ห้ามคนอื่นทานเนื้อสุนัขได้

เราไม่มีทางรู้ว่าสุนัขที่ถูกสังเวยเป็นอาหารจะมีจิตใจดราม่าทุกข์ทรมานซับซ้อนกว่าสัตว์อื่นจริงหรือไม่ ถ้าทำให้สัตว์พูดได้ เป็ดไก่วัวควายอาจจะหันมาถามว่า “พวกเราไม่ถูกคนสมัยนี้รณรงค์ห้ามทำเป็นอาหาร เพียงเพราะไม่รู้จักแสดงความภักดีต่อมนุษย์ เท่านั้นหรือ?”

ควรกินสุนัขหรือไม่จึงเป็นดราม่าของมนุษย์ที่หยิบยืมเรื่องสุนัขมาชั่งตวงวัดความเป็นมนุษย์ ทั้งด้านความเห็นอกเห็นใจและเรื่องความเป็นธรรม

ด้านหนึ่งคือกลุ่มคนที่ทำใจไม่ได้ที่สัตว์ที่ตนรู้สึกว่าผูกพันจะถูกทำเป็นอาหาร ด้านหนึ่งคือกลุ่มคนที่ประเมินสิทธิกับทุกสรรพสัตว์ว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติ หรือตั้งแง่จนไปกล่าวหาว่ารสนิยมทางเลือกนี้เป็นความป่าเถื่อน เพราะอันที่จริงเราทุกคนก็ยังมีส่วนกับความป่าเถื่อนกับสัตว์อื่นอยู่ทั้งสิ้น เพียงแค่อยากจะมองเห็นหรือไม่ก็เท่านั้น

ข่าวล่าสุด

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ เยี่ยมศูนย์อพยพชายแดนไทย-กัมพูชา หวัง สถานการณ์คลี่คลาย