อยากหายไปจากโลกนี้ พอกันทีโรคซึมเศร้า
ไม่แปลกที่คุณจะเศร้า ไม่แปลกที่คุณจะซึม แต่หากคุณด่ำดิ่งในอารมณ์จนร่างกายผิดปกติ เกิดความรุนแรง และจิตใจแปรปรวน
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช, เอพี
ไม่แปลกที่คุณจะเศร้า ไม่แปลกที่คุณจะซึม แต่หากคุณด่ำดิ่งในอารมณ์จนร่างกายผิดปกติ เกิดความรุนแรง และจิตใจแปรปรวน นั่นแสดงถึง โรคซึมเศร้าโรคที่ทุกคนสามารถเป็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และสามารถแก้ไขได้ด้วยการรู้เท่าทันและบำบัดจิตใจตัวเอง
สติ
ทรัพย์-พลพจน์ ศรีพระจันทร์ นักประชาสัมพันธ์ฟรีแลนซ์ วัย 27 ปี เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อ 2 ปีที่แล้วจากอาการนอนติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน โดยไม่กินข้าว ไม่ติดต่อใคร เพื่อหนีปัญหาที่รายล้อมตัว
“พอตื่นมาจะรู้สึกอยากตาย” ทรัพย์กล่าว “รู้สึกหมดหวัง ส่งผลให้พฤติกรรมนอนอยู่อย่างนั้น เพราะอยากให้ตัวเองลืมๆ เรื่องที่กำลังทุกข์อยู่ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะง่วง แปลกมากที่นอนเยอะขนาดนั้นแต่ก็ยังง่วง เหมือนนอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนวันที่ 3 เพื่อนมาพังประตูห้องแล้วลากเราออกไป” และอีกครั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขากินยานอนหลับเกินขนาด แล้วขังตัวเองอยู่ในห้องนาน 4 วัน พร้อมกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าอาจมีอะไรดีขึ้น
ความเครียดเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว ทับถมกันจนเป็นภูเขาลูกใหญ่ ทับตัวไว้จนเกิดความกดดันและความเครียด “เราคิดหลายปัญหาจนไม่โฟกัสสักปัญหา เหมือนไม่มีสติ จิตหลุด และสุดท้ายก็นำปัญหาทุกอย่างมาลงโทษตัวเอง” แต่โชคดีที่เขายังมีเพื่อนซึ่งเคยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน ทว่า คำปลอบและคำปรึกษาใดๆ ก็ไม่สามารถทำให้หลุดจากความคิดตัวเองได้ เขาจึงตัดสินใจนั่งรถไฟกลับบ้านต่างจังหวัด เพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและกลับไปหาพ่อ
“จากเหตุการณ์นั้นทำให้เราสนิทกับพ่อมากขึ้นมากๆ ตอนนี้การกอดพ่อกลายเป็นเรื่องปกติ ผิดจากเมื่อก่อนที่เราสองคนไม่เคยแสดงออกอะไรแบบนี้ และทุกครั้งที่จิตตกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ก็คือพ่อ ภาพพ่อร้องไห้ตอนที่ติดต่อเราไม่ได้มันแวบขึ้นมาในหัว เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต”
ทรัพย์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะสารเคมีในสมองผิดปกติ การกินยาทำให้อาการดีขึ้นในช่วงแรก “ในที่สุดแล้วการรักษาทางการแพทย์ไม่ช่วย เพราะว่าเราไม่ได้ปรับพฤติกรรม ไม่ได้เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เรายังเป็นคนที่กดดันตัวเองสูง อยากขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้า ทำให้ทุกครั้งที่ล้มเหลวจะเจ็บปวดและเสียใจ เพราะเราไม่เคยเรียนรู้ที่จะรับมือกับความล้มเหลว และรับมือกับความเครียด”
คนที่เป็นโรคซึมเศร้าแตกต่างจากคนทั่วไป ตรงที่เมื่อเกิดความเครียดจะเหมือนคนตกเหว ทั้งความคิดและความรู้สึกต่างๆ จะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเขาเริ่มนั่งสมาธิ และได้ค้นพบ “สติ” สิ่งที่ทำให้อยู่กับปัจจุบัน สติจะช่วยแยกแยะปัญหาที่ทับถมอยู่ให้ออกไปทีละอย่าง แก้ไขไปทีละเรื่อง และเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย เหวที่อยู่ข้างหน้าก็กลายเป็นเพียงหน้าผาธรรมดา เพียงแค่เขากระซิบก็ได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาว่า “ไม่มีอะไรหนักหนาถึงขั้นต้องตาย และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าจิตใจตัวเอง”
ความรัก
โรคซึมเศร้ามีหลายประเภท แบ่งตามระดับความรุนแรงและการแสดงอาการ หนึ่งในนั้นคือ Intermittent Explosive Disorder หรือการระเบิดอารมณ์ผ่านพฤติกรรมก้าวร้าว ซึ่งอาจเป็นทางวาจาหรือทางร่างกาย คนที่กำลังเผชิญโรคนี้อยู่ เป็นผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม เก่ง–สกลฤทธิ์ จันทร์พุ่ม ผู้ร่วมก่อตั้ง มาดี (Ma:D Social Entrepreneurs Hub)
เก่งรู้ตัวเองมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย “เราเป็นคนหงุดหงิดง่ายและรุนแรง แต่เมื่อได้ระเบิดอารมณ์ออกไปแล้วจะกลับเศร้ากับสิ่งที่ทำ” จากนั้นเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน มีโอกาสออกกำลังกายน้อยลง และมีเรื่องให้เครียดมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่เริ่มก่อตั้งมาดี เขาใช้เวลาทั้งหมดในการทำงานและเครียดกับมันมาก จนทำให้คนรอบข้างไม่มีความสุข และที่ร้ายแรงที่สุดคือ ทำให้คนรักเป็นโรคซึมเศร้า
“แค่อ้าปาก แฟนก็เครียดแล้ว เราทะเลาะกันบ่อยมากจนคิดที่จะเลิก แต่ลึกๆ เรายังอยู่ด้วยกัน เลยตัดสินใจพากันไปหาหมอ” เก่งมีอารมณ์รุนแรง ส่วนแฟนมีอารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งนอกจากการกินยา ทั้งสองยังต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
“ยาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วย แต่ที่ช่วยได้มากคือการเปลี่ยนตัวเอง กิ๊ฟท์ (แฟน) หยุดงานหนึ่งสัปดาห์ แล้วไปเที่ยวกับเพื่อน จัดห้องจัดบ้านใหม่ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่มันใกล้ตัวที่สุด ออกกำลังกายบ่อยขึ้น ทำติดต่อกันหนึ่งเดือน ควบคู่กับการกินยา กลายเป็นว่าแฟนไม่กลัวที่จะเจอหน้าเรา ดูสดใส และมีชีวิตชีวาขึ้นมาก”
โดยส่วนตัว เขาใช้วิธีห่างออกจากงานเพื่อให้มีเวลาว่าง จากนั้นอ่านหนังสือ จดไอเดียใหม่ๆ และทำคู่กับการเปลี่ยนทัศนคติ จากที่ยึดว่าต้องลดละอารมณ์ เปลี่ยนเป็นใช้หลักความรักและเมตตา ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกดดันตัวเองไม่ให้โกรธ ไม่ให้เครียด เพราะการกดอารมณ์ไว้มันเหมือนระเบิดเวลา
“เรายังโกรธเหมือนมนุษย์ปกติ แต่ทำความเข้าใจว่าทำไมต้องโกรธ ให้ความรักแก่ตัวเองและเมตตาคนอื่น พอทำบ่อยๆ เราก็โกรธยากขึ้น หงุดหงิดยากขึ้น ชีวิตเราก็ดีขึ้น”
หลังจากที่ทั้งสองคนเข้ารับการรักษาและปรับเปลี่ยนชีวิตตัวเองมาได้ประมาณ 8 เดือน ปัญหาเรื้อรังที่ทำร้ายชีวิตคู่มานานก็หายไป เก่งทำงานเพื่อสังคมอย่างมีความสุข ได้กอดคนรักต่อไป และอยู่กันแบบเข้าใจ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของชีวิตคู่
จิตบำบัด
นพ.จิตริน ใจดี จิตแพทย์ ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่าสาเหตุของโรคซึมเศร้ามีหลายปัจจัย ซึ่งข้อมูลจากการวิจัยพบว่าสาเหตุที่พบบ่อยคือ ทางกรรมพันธุ์ เพราะโรคซึมเศร้าเกิดจากสารเคมีในสมองที่ชื่อ เซโรโทนิน (Serotonin) ต่ำกว่าปกติ ซึ่งผู้ป่วยอาจได้รับยีนจากพ่อแม่ที่เป็นโรคซึมเศร้า ทำให้สมองผลิตสารฟีโรโตนินน้อยกว่าคนทั่วไป
ขณะที่ปัจจัยภายนอกอื่นๆ ได้แก่ ความเครียดเรื้อรังยาวนาน ติดสารเสพติดและแอลกอฮอล์ พฤติกรรมเสพติดทุกอย่าง ทั้งติดเกม ติดช็อปปิ้ง ติดโซเชียลมีเดีย รวมถึงทางกายภาพอย่างช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือน หลังคลอดลูก จากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือคนที่ได้รับยารักษามะเร็งบางตัว ก็อาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า
ผู้เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าต้องสังเกตพฤติกรรมเบื้องต้นว่าอารมณ์เปลี่ยนไปหรือไม่ เช่น จากคนที่เคยสดใสกลายเป็นหดหู่ มีอารมณ์เศร้า มีอารมณ์เบื่อ ถ้าเปลี่ยนไปนาน 2 อาทิตย์ติดต่อกัน ร่วมกับอาการเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ความจำไม่ดี สมาธิสั้น และรู้สึกไม่มีแรง นั่นคาดการณ์ได้ว่า คุณกำลังเป็นโรคซึมเศร้า
คนในครอบครัวมีความสำคัญมาก นอกจากต้องสังเกตพฤติกรรมของคนในครอบครัวอย่างที่กล่าวมา ต้องอย่าตั้งคำถามที่ทำให้คนไข้รู้สึกอายและเสียใจ แต่ควรเป็นผู้ฟังที่ดีเพื่อให้คนไข้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา และปิดท้ายด้วยการแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์
“คนไทยมักอายที่จะไปหาจิตแพทย์ เพราะมองว่าอาการทางจิตต้องเป็นคนบ้าเท่านั้น จนทำให้เสียโอกาสในการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และกลายเป็นปัญหาใหญ่ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในครอบครัวและสังคมตามมา” นพ.จิตริน กล่าว
การรักษามี 2 ประเภท คือ ทางจิตบำบัด จัดการกับความทุกข์โดยที่ความทุกข์ยังมีอยู่เท่าเดิม และทางพฤติกรรมบำบัด เซตอัพตารางชีวิตแต่ละวันกับจิตแพทย์ โดยส่วนใหญ่คนไข้โรคซึมเศร้ามักมีชีวิตซ้ำเดิม เช่น ตื่นเช้าไปทำงาน ประชุม กลับบ้าน นอน วนอยู่แบบนี้ติดต่อกันหลายๆ ปี ซึ่งมักจะจบลงด้วยอาการซึมเศร้า
นพ.จิตริน ยังแสดงทัศนะต่อสภาพสังคมปัจจุบันว่า น่าจะมีผลให้คนเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น ทั้งความเคร่งเครียดของคนเมือง และการรับข่าวสารต่างๆ ที่ทำให้เกิดความเครียดและพฤติกรรมเลียนแบบ นอกจากนี้ทางสถิติพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจำนวนร้อยละ 10 (ใน 100 คน พบ 10 คน) เกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบในทุกอายุและทุกช่วงวัย ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน


