posttoday

มานัต กุละปาลานนท์ เร็วได้แต่ต้องปลอดภัย

30 พฤษภาคม 2559

ต้น-มานัต กุละปาลานนท์ คือนักแข่งทีมโตโยต้าไทยแลนด์ ดีกรีแชมป์ประเทศไทยหลายรายการ

โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพ... วิศิษฐ์ แถมเงิน

ต้น-มานัต กุละปาลานนท์ คือนักแข่งทีมโตโยต้าไทยแลนด์ ดีกรีแชมป์ประเทศไทยหลายรายการ และเป็นนักแข่งรถรุ่นใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ เขาเริ่มต้นการแข่งรถในสนามจากการขับโกคาร์ตตั้งแต่ยังเด็ก และเริ่มลงแข่งขันอย่างจริงจังเมื่อประมาณปี 2547 และภายในเวลา 1 ปีหลังจากนั้นเขาก็ทำผลงานขึ้นติดทีมโตโยต้าไทยแลนด์ จากนั้นเส้นทาง 12 ปีที่โลดแล่นบนสนามแข่งรถทั่วโลกเขาสามารถคว้าชัยชนะและผลงานที่น่าประทับใจกลับมาได้อย่างมากมาย

เริ่มแข่งรถเพราะอยากขับให้ปลอดภัย

“คุณพ่อเป็นห่วงผมเรื่องการขับรถเร็ว เลยส่งผมไปเรียนขับรถแข่งในสนาม เพื่อพัฒนาทักษะการขับรถให้ปลอดภัยในเรื่องการเบรก การเข้าโค้ง การตัดสินใจและการบังคับต่างๆ โดยไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะต้องเป็นแชมป์หรือเป็นนักแข่งที่มีชื่อเสียงในอนาคต แต่เรียนเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงให้ขับอย่างปลอดภัยมากขึ้น หลังจากเรียนแล้วก็ส่งให้เราลงแข่งในสนามแรกเป็นรายการโตโยต้า วันเมคเรซ เป็นรายการแข่งของมือใหม่ ก็ได้อันดับต้นๆ ของตาราง เพราะตอนนั้นผมก็ซ้อมเยอะฝึกเยอะ และได้โค้ชที่มีประสบการณ์ในการแข่งเข้ามาช่วยดูแล หลังจากนั้นผมก็ลงแข่งมาตลอดและได้ตำแหน่งดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้เลื่อนระดับการแข่งไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้นจนได้เข้าร่วมทีมโตโยต้าไทยแลนด์ ที่มีแต่ยอดฝีมือระดับต้นๆ ของประเทศมาโดยตลอด

“สิ่งที่ผมได้มาผมคิดว่าเกิดจากความพยายามและการหมั่นฝึกซ้อม ในการแข่ง 1 รายการผมจะซ้อมก่อนแข่งประมาณ 1-2 ครั้ง แต่ละครั้งก็ไม่ต่ำกว่า 80 รอบ วิ่งไปประมาณ 45 นาทีก็ลงมาพัก ดูเวลาที่ทำได้ ปรับรถเล็กน้อย ปรับไลน์แข่งใหม่ แต่สิ่งที่ปรับมากที่สุดก็คือปรับการขับของตัวเราเอง แล้วก็ลงไปซ้อมใหม่ ซ้อมจนกว่าเราจะมั่นใจว่าได้เวลาที่ดีที่สุด

 “หลังจากได้เข้ามาอยู่ในทีมและจับรถที่มีความเร็วมากขึ้นเป็นครั้งแรก ผมก็ค่อนข้างเครียดนิดนึงกลัวว่าฝีมือเราจะขับได้ไม่ดีพอ แต่ว่ารถทุกคันมีการปรับเซตติ้งจากทีมช่างมาดีมาก ทำให้เราขับง่ายได้อย่างใจต้องการ ที่เหลือก็คือตัวเราที่ต้องปรับสไตล์การขับ รถเร็วขึ้นเราก็ต้องตอบสนองให้เร็วขึ้นเป็นเท่าตัว รถที่ดีขึ้นก็ทำให้เราเบรกได้ลึกขึ้น เร่งความเร็วได้ทันใจมากขึ้น และทำให้เราได้แชมป์แรกในปีที่เข้าไปอยู่ในทีมของเขาทันที”

นักแข่งที่ดีต้องมีพื้นฐานที่แน่น

“สำหรับผมแล้วสิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จก็คือ โอกาสที่ทำให้เราได้มาอยู่ตรงนี้ และต่อมาก็คือการศึกษาเรียนรู้ ศึกษาการขับรถ ในสมัยที่ผมเริ่มขับรถแข่งยังไม่มีพวกโรงเรียนสอนแข่งรถ ผมต้องศึกษาเรียนรู้จากแหล่งต่างๆ แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง

“สิ่งสำคัญอย่างมากในการแข่งรถก็คือพื้นฐานความเข้าใจ การขับรถ ในเรื่องการเบรก การเข้าโค้ง การเร่งแซง การรู้จักธรรมชาติของรถที่เราขับ ว่ารถแบบนี้เราควรจะขับอย่างไร ตำแหน่งที่นั่งและการจับพวงมาลัยก็สำคัญ เพราะนอกจากจะขับได้ดีขึ้นแล้ว เวลาเกิดอุบัติเหตุยังช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้อีกด้วย

“ต่อมาคือการออกกำลังกาย นักแข่งรถจะใช้ร่างกายหมดทุกส่วน ใช้ตาในการมอง มือแขนบังคับพวงมาลัย เท้าสลับเหยียบเบรกและคันเร่ง จมูกดมกลิ่นผิดปกติของเครื่องยนต์ แผ่นหลังใช้รับรู้แรงสะเทือนและการเกาะถนนของรถ ใช้ร่างกายแทบทุกส่วนในการแข่งรถ แต่กล้ามเนื้อที่สำคัญที่สุดในการแข่งรถก็คือกล้ามเนื้อแกนกลางของร่างกาย เพราะเวลาขยับแขนขาเราก็ต้องส่งแรงจากแกนกลางของร่างกายเป็นหลัก

“เราใช้วิธีการฝึกด้วยการวิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน เข้าฟิตเนส เล่นเวตโดยเน้นการออกกล้ามเนื้อแกนกลางและแขน เพราะถึงจะเป็นรถที่มีระบบช่วยเลี้ยวแต่ในสนามแข่งเราก็ใช้กำลังแขนแทบไม่แตกต่างจากการเล่นโกคาร์ตมากนัก เราต้องเจอทั้งแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง การเสียดทานของยางกับพื้นถนน และความเร็วในการเข้าโค้งที่สูงกว่าปกติ นอกจากความเร็วของรถที่นักขับต้องเผชิญ ยังมีเรื่องความร้อน และการสูญเสียเหงื่อในร่างกาย ในการแข่ง 1 ครั้ง นักแข่งจะเสียเหงื่อเป็นจำนวนมาก น้ำหนักตัวลดลงไปกว่า 1-2 กก.

“นอกจากเรื่องความร้อนแล้วระยะเวลาในการขับ และเส้นทางก็มีผลกับสภาพร่างกาย ในรายการแข่งต่างประเทศบางรายการ ที่ต้องแข่งกัน 24 ชม. ก็ต้องสลับขับกับเพื่อนร่วมทีม รอบละ 3 ชม. เป็นเส้นทางภูเขามีทั้งทางชันสูงและดิ่งลงทางราบสลับทางโค้งติดต่อกัน ครึ่งทางแรกในรอบก็พร้อมดี แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีอาการเบลอๆ ไปจากการขับรถติดต่อกันเป็นเวลานาน และยังต้องเจอสภาพความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นร่างกายต้องแข็งแรงพร้อมสำหรับการแข่งรถเสมอ”

เร็วได้แต่ต้องปลอดภัย

มานัต ทิ้งท้ายว่าเคล็ดลับสุดท้ายสำหรับการเป็นนักแข่งรถที่ดี ก็คือการที่เราต้องเรียนรู้ที่จะขับอย่างปลอดภัย ในโลกของการแข่งขันใช่ว่าคนที่เร็วที่สุดจะเป็นคนที่เก่งที่สุดนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่หัวใจของการแข่งที่ทุกทีมทุกรายการต้องการเห็นก็คือพัฒนาการของการแข่งรถที่เร็วขึ้นแต่ก็มีความปลอดภัยมากขึ้น นักแข่งจะไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยหากแข่งแล้วเกิดอุบัติเหตุ โค้งนี้แซงไม่ได้ก็หาจังหวะอื่นๆ ที่มีอยู่หลายจังหวะในแต่ละสนาม จังหวะไหนฝืนเกินไปก็ต้องปล่อย นักแข่งต้องมีสติ สมาธิ และเร็วอย่างเดียวไม่ได้ต้องปลอดภัยด้วย

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ