posttoday

วลีแรงๆ ของเมิ่งจื่อ เมื่อไร้ทายาทคืออกตัญญู

20 เมษายน 2559

เมิ่งจื่อกล่าวว่า “อกตัญญูมีอยู่ 3 ไร้ทายาทสืบสกุลหนักหนาสุด” วลีนี้มักถูกยกขึ้นมาสั่งสอนและกดดันลูกหลานจีน

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

เมิ่งจื่อกล่าวว่า “อกตัญญูมีอยู่ 3 ไร้ทายาทสืบสกุลหนักหนาสุด”

วลีนี้มักถูกยกขึ้นมาสั่งสอนและกดดันลูกหลานจีนที่ไม่ยอมแต่งงานในวัยอันควร

น่าแปลกใจ ที่ปราชญ์อย่างเมิ่งจื่อ ทายาททางแนวคิดของมหาปราชญ์ขงจื่อเป็นต้นกำเนิดวลีนี้

ปราชญ์อย่างขงจื่อและเมิ่งจื่อผลิตคำสอนชั้นดีอยู่ไม่น้อย แต่วลีนี้ยังเป็นสิ่งน่าสงสัย เหมือนกับกำลังจะบอกเราๆ ท่านๆ ว่า หน้าที่ของการเกิดเป็นลูกคือการผลิตหลานสานต่อวงศ์ตระกูลเป็นหลัก เรื่องอื่นถือเป็นรอง

แปลว่าขอแค่มีทายาทสานต่อ หากจะมีพฤติกรรมเละเทะ เป็นนักเลง เป็นโจร กินเหล้าเมายา ก็ยังถือว่าพอไหว... จริงหรือ?

หลายคนหวังดีพยายามอธิบายว่าความจำเป็นของสังคมเกษตรกรรมสมัยก่อน ที่แรงงานลูกหลานเป็นเรื่องสำคัญ และไม่มีสวัสดิการจากรัฐ ลูกหลานเหลนลื่อลืบลืดจะช่วยให้ชีวิตพ่อแม่ปู่ย่าท่านสะดวกสบาย แต่คำอธิบายแบบนี้ ก็ยังแก้ความสงสัยไม่ได้ว่า แล้วการไม่มีทายาทนี่มันเป็นปัญหาหนักหนาสุด? จนความอกตัญญูอื่นก็สู้ไม่ได้... จริงหรือ?

ปราชญ์คนสำคัญเอ่ยทั้งที คำนี้จึงมีผลกระทบยิ่งใหญ่มานานกว่าสองพันปีที่ผ่านมา อ้างว่าเป็นสัจธรรมแห่งการใช้ชีวิตในสาแหรกจีน

ลูกหลานชาวจีนจำนวนมาก ต้องทนทุกข์และรู้สึกอดสูต่อแรงกดดันจากวลีนี้ ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยมอยากได้ลูกชาย การแต่งงานแบบคลุมถุงชน หรือแม้แต่แรงกดดันต่อหนุ่มสาวชาวจีนในยุคปัจจุบันให้ต้องรีบเป็นฝั่งเป็นฝา วลีทองนี้ของเมิ่งจื่อล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง

ขอขยายความเรื่องแรงกดดันเรื่องการแต่งงานของหนุ่มสาวชาวจีน ว่าขนาดในยุคนี้เอง ก็ยังทรงอิทธิพลอยู่ไม่น้อย หนุ่มสาวจีนพอเลย 25 แต่ยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว ส่วนใหญ่จะกลายเป็นความวิตกกังวลของพ่อแม่ และเพื่อนๆ จนเจ้าตัวสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกประหลาดจากคนรอบข้าง

จนไม่นานนี้มีโฆษณาเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง ทำโฆษณาที่แฝงแคมเปญรณรงค์ให้ “สาวตกขบวน” ทั้งหลายได้รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง หรือกระทั่งคุณค่าของการเป็นโสด

โฆษณาแสดงให้เห็นความกังวลของพ่อแม่ที่มีต่อลูกสาวผู้ตกขบวน ความรู้สึกไม่อยากให้พ่อแม่ของตนผิดหวังที่ตัวเองยังโสด จนในที่สุดได้เขียนประกาศถึงความในใจพร้อมรูปถ่ายสวยสง่าตั้งไว้ในสวนสาธารณะให้ทุกคนได้เห็น เมื่อพ่อแม่ของสาวๆ ได้อ่านได้เห็น ก็เริ่มเข้าใจและยินดียืนหยัดเคียงข้างในทุกการตัดสินใจในชีวิตของพวกเธอ

แต่ก็ยังมีหนุ่มสาวอีกจำนวนมากที่อยู่นอกเหนือโฆษณาชวนหลั่งน้ำตานี้ และเธอเขาเหล่านั้นก็อาจต้องหลั่งน้ำตาเช่นกัน แต่หลั่งให้กับแรงกดดันที่ไม่มีวันเข้าใจพวกเขา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดมีวลีทองของเมิ่งจื่อ เป็นส่วนประกอบหนึ่ง

อ่านถึงตอนนี้ คงมีไม่น้อยที่นึกขัดใจถามขึ้นมาว่า “แล้วอกตัญญูที่เหลืออีก 2 ข้อล่ะ คืออะไร?”

น่าแปลกใจครับ เพราะเอาเข้าจริงเมิ่งจื่อไม่เคยพูดถึงอกตัญญูอีก 2 ข้อเลย

จนหลังจากยุคของเมิ่งจื่อสี่ถึงห้าร้อยปี (ยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก) จึงเริ่มมีนักการศึกษานามว่า “จ้าวฉี” เริ่มเอะใจ ช่วยแต่งเสริม 2 ข้อที่เหลือให้ว่า

“ตามธรรมเนียมอกตัญญูนั้นมี 3 อย่าง ตามใจพ่อแม่จนท่านบกพร่องคุณธรรมแล้วยังไม่บอกกล่าว คืออกตัญญูที่ 1 ครอบครัวยากจน แต่ไม่ทำงานทำการรับเงินเดือน คืออกตัญญูที่ 2 ไม่แต่งเมียไม่มีลูก ขาดทายาทสืบสกุล คืออกตัญญูที่ 3”

ซึ่งก็คือดูแลกันเองในครอบครัวให้ถูกครรลอง ทำงานทำการสร้างอาชีพเพิ่มผลผลิต รวมถึงเพิ่มประชากรและแรงงานให้ชาติบ้านเมือง

กลายเป็นแฝงกลิ่นอายความต้องการที่ฝ่ายปกครองมีต่อแต่ละครอบครัว มากกว่ากลิ่นอายของนักปราชญ์ที่หวังดีต่อผู้คน

วลีนี้ของเมิ่งจื่อจึงต้องสงสัย เพราะลอยอยู่โดดเดี่ยวอย่างน่าประหลาด แต่เมื่อไปค้นหาในต้นฉบับ จึงพบว่าประโยคเต็มว่า

“อกตัญญูมีอยู่มากมาย (3 ในที่นี้ควรจะหมายถึงมากมาย*) (ที่ว่ากันว่า) ไร้ทายาทสืบสกุลหนักหนาสุด ซุ่นไม่บอกกล่าวพ่อแม่ก็แต่งภรรยา ก็ถือว่าไม่ได้ทำเรื่องสืบสกุลให้ครบถ้วน แต่วิญญูชนล้วนเห็นว่าซุ่นจะบอกพ่อแม่หรือไม่บอกก็ไม่เห็นต่างกัน”

เมิ่งจื่อ กำลังพูดถึง ซุ่น กษัตริย์ในตำนานปรัมปราของจีน ซึ่งในประวัติมีแม่เลี้ยงใจร้าย กษัตริย์เหยาองค์ก่อนหน้าซุ่น ยกลูกสาวให้ซุ่นเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี เมื่อซุ่นจะแต่งงาน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับแม่เลี้ยง จึงยอมบกพร่องที่จะไม่บอกเรื่องแต่งงานให้แม่เลี้ยงรู้

ที่มาของวลีข้างต้น จึงมาจากตอนหนึ่งของคำพูดของ เมิ่งจื่อ ที่กำลังแก้ต่างให้กับซุ่น ว่าถึงจะบกพร่องเรื่องกระบวนการ ไม่ได้บอกให้แม่รู้ว่าจะแต่งงาน ก็ไม่ถือว่าอกตัญญู จากธรรมเนียมการเขียนภาษาจีนโบราณจะสั้นและกระชับ อาจทำให้บางคนแปลได้คลาดเคลื่อนจากนี้บ้าง แต่โดยใจความแล้ว เมิ่งจื่อไม่น่าจะตั้งใจพูดจาผิดธรรมชาติจนกลายเป็นวลีฟันธงเพี้ยนๆ แบบนั้น

และเมื่อตัดตอนมาแค่สองประโยคแรก จึงกลายเป็นวลีแรงๆ ที่ถูกใจใช้สนองความต้องการพื้นฐานของชาวจีน

ที่จริงก็ยังมีอะไรให้สงสัยได้อีก เพราะในขณะเดียวกัน เมิ่งจื่อยังเคยกล่าวว่า “ในโลกนี้อกตัญญูมีอยู่ 5 ข้อ”

1.คือเกียจคร้านการงาน ไม่ทำมาหาเลี้ยงพ่อแม่

2.คือเล่นพนัน ดื่มสุรา ไม่ไยดีพ่อแม่

3.คือเห็นแก่ลูกเมียก่อน ไม่แยแสพ่อแม่

4.คือทำอะไรตามใจอยาก ให้พ่อแม่ต้องละอาย

5.คือชอบวิวาทท้าตีท้าถ่อย หาเรื่องให้พ่อแม่ตกอยู่ในอันตราย”

นี่สิจึงสมเป็นเมิ่งจื่อตัวจริง แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครมานั่งสงสัยว่าทำไมเมิ่งจื่อคนเดียวกัน เดี๋ยวบอกอกตัญญูมี 3 เดี๋ยวบอกมี 5 แถมพอสี่ห้าร้อยปีผ่านมา ก็อุตส่าห์ยังมีคนแต่งอีกสองข้อให้ซะอีก

และทั้ง 5 ข้อนี้ดันมีอิทธิพลน้อยกว่าวลีแรงๆซะงั้น

เท่ากับจับเอาเมิ่งจื่อเป็นตัวประกันของความเดือดร้อนที่มอบให้กับทั้งสังคมมาจนถึงปัจจุบัน

จะว่าไป โลกยุคสองพันกว่าปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากโลกยุคนี้เท่าใดนักที่บางครั้งสังคมก็เลือกเชื่อเฉพาะที่แรง เลือกตัดแค่บางวลีจากปากคนอื่นเฉพาะที่ตนอยากจะฟัง หรืออยากจะให้เขาพูด

“อย่าเชื่อเพียงเพราะเล่าต่อๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นคำแรงๆ อย่าเชื่อเพราะเขาอาจพูดมากกว่าที่เห็น อย่าเชื่อเพราะเขาโฟโต้ช็อปปะหน้ามาว่าคนนี้คนนั้นประกอบคำพูด” เมิ่งจื่อกล่าวไว้ (เชื่อหรือไม่ครับ)

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท