กระดาษมูลช้าง ของดีที่ไม่ควรมองข้าม
...โยธิน อยู่จงดี
เรามั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนเกิดอาการเบื่อแพนด้า และน้อยใจแทนช้างไทยที่ถูกมองข้าม ทั้งที่ช้างนั้นเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งเคยช่วยไทยรบกอบกู้เอกราช แต่แพนด้าไม่ ทั้งช่วยเราทำงานลากซุง แต่แพนด้าไม่ ฝึกฝนฝีมือการแสดงช้างแสนรู้จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วโลก แต่แพนด้าไม่
หรือมีใครเห็นแพนด้าทำอย่างอื่นนอกจากกิน นอน ขับถ่าย กลายเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษมูลแพนด้าอันลือเลื่องของสวนสัตว์เชียงใหม่บ้าง ก็คงไม่มี แต่ใช่ว่าช้างไทยจะน้อยหน้าไปกว่าแพนด้า เรื่องการนำมูลมาทำกระดาษ ขอบอกว่าช้างไทยก็ทำได้ และทำได้เยอะกว่า ดีกว่า น่าใช้กว่าเสียด้วย
กระดาษมูลช้าง
ความเป็นมาของกระดาษมูลช้างนั้น ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามาจากแหล่งใด แต่ขั้นตอนการทำกระดาษมูลช้างมีพื้นฐานมาจากการทำกระดาษสา ที่ใช้การต้มเยื่อไม้มาทำกระดาษจนมีชื่อเสียงมาช้านาน และด้วยต้นแบบที่ต้องใช้เยื่อไม้นี่เอง นักวิชาการพบว่ามูลช้างแห้งๆ ล้วนมีกากใยเยื่อไม้อยู่มากมายมหาศาล และในแต่ละปางช้างต่างประสบปัญหากองมูลช้างหลายร้อยกิโลในแต่ละวัน
โดยปกติแล้วจะมีการนำมูลช้างไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือทำเป็นบ่อก๊าซหุงต้ม แต่ปัญหาก็คือมีมูลช้างมากมายในแต่ละวันจนไม่สามารถจัดการได้หมด
การนำเอาเยื่อไม้ที่ได้จากมูลช้างมาทำเป็นกระดาษมูลช้าง จึงเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งในการจัดการปัญหาเรื่องมูลช้างของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี วิธีการนี้มีใช้มานานกว่า 8 ปีมาแล้ว เช่น ที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2546 ครูและนักเรียนได้ทำการทดลองนำมูลช้างมาทำเป็นกระดาษเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมูลช้างภายในท้องถิ่นจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จนแหล่งเลี้ยงช้างในหลายๆ จังหวัด เช่น สุรินทร์ เชียงใหม่ ลำปาง และน่าน ต่างก็นำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์โอท็อปกันหลายเจ้า และมีการพัฒนาสานต่อยอดเพื่อปรับปรุงคุณภาพของกระดาษที่ดีขึ้น
วิธีการทำกระดาษมูลช้าง
การทำกระดาษมูลช้างเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ว่ามูลช้างที่ได้มาจะต้องได้มาจากช้างที่กินอาหารที่มีเส้นใยสูง จำพวกอ้อย ใบสับปะรด ซึ่งอาหารโดยปกติก็เป็นอาหารที่มีกากใยสูงอยู่แล้ว โดยวิธีการทำกระดาษมูลช้างที่ได้รับการพัฒนาล่าสุดจากกลุ่มอาจารย์และนักวิจัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) ประกอบด้วยมยุรี เรืองสมบัติ ยุวดี พรธาราพงศ์ ทินวงษ์รักอิสสระกุล และ อามัณฑนา ทองสุพลได้ร่วมมือกันทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมูลช้างที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และจะนำไปเผยแพร่ต่อไปในจังหวัดที่มีการเลี้ยงช้างอื่นๆ คือ
1.เมื่อได้มูลช้างในปริมาณพอสมควร อย่าเพิ่งรีบร้อนมาสกัดกากใยออกมา ให้นำไปผ่านการฆ่าเชื้อโรคและกรองเศษหิน ดิน ทราย ออกจากมูลช้างให้สะอาด ด้วยการนำไปหมักในบ่อซีเมนต์ในปริมาณน้ำ 1,000 ลิตรต่อมูลช้าง 700 กก. จากนั้นใส่กากน้ำตาลประมาณ 1 กก.ต่อ 1 บ่อ และใส่น้ำยา E.M. (Effective Microorganisms) ที่ผสมแล้วใส่ลงในบ่อในอัตราส่วน 40 ลิตรต่อ 1 บ่อ คนให้น้ำยาและมูลช้างเข้ากันแล้วทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน จากนั้นให้นำมูลช้างแห้งมาทำการล้างกรองเศษกรวด เศษหินต่างๆ ให้ตกตะกอน
2.จากนั้นนำมูลช้างที่ได้จากการล้างไปต้มในอัตราส่วน น้ำ 70 ลิตรต่อมูลช้าง 40 กก. หากมูลช้างมีคุณภาพไม่ดีพอสามารถใส่เยื่อไม้หรือเยื่อกระดาษอื่นๆ เข้าไปได้
ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาต้มประมาณ 12 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเวลาที่สั้นลงกว่าเดิม ที่ต้องใช้เวลาต้มนานถึงครึ่งวัน ในขั้นตอนนี้เราสามารถใส่หัวน้ำหอมเพื่อเพิ่มมูลค่าและความน่าใช้งาน
3.เมื่อต้มจนมูลช้างเปื่อยยุ่ยได้ที่แล้ว นำเส้นใยที่ได้ใส่เครื่องปั่นละเอียดอีกครั้ง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
4.เอาเส้นใยที่ได้จากการปั่นใส่ลงในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำแผ่แบบราบออกให้มีความหนาตามต้องการ นำไปตากแดดจนแห้งแล้วแกะเรียงเป็นแถวให้เรียบร้อย พร้อมนำไปใช้ทำเป็นวัสดุประกอบงานสินค้าประดิษฐ์กระดาษตามต้องการ เช่น สมุดบันทึก ปกอัลบั้มรูป โปสต์การ์ด แผ่นภาพพิมพ์นูน โคมไฟกระดาษ หรืองานประดิษฐ์อื่นๆ เช่นเดียวกับกระดาษสานั่นเอง
กระดาษมูลช้างที่ได้จะไม่มีกลิ่นเหม็นและเชื้อโรคหลงเหลือ และสามารถนำไปพัฒนาเป็นรายได้เสริมของคนเลี้ยงช้าง จะได้ไม่ต้องลำบากพาช้างเร่ร่อนถึงเมืองหลวง ที่สำคัญราคากระดาษมูลช้างนี้ไม่แพงเหมือนกับกระดาษมูลแพนด้าที่มีเพียงน้อยนิด และหวังไว้เพียงว่าชีวิตช้างไทยควรจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยช้างก็ไม่ได้ต้องการห้องแอร์ ไม่ได้ต้องการหมอประจำตัว เพียงคุ้มครองดูแลให้สมกับเป็นสัตว์ประจำชาติเท่านั้นก็พอ


