ล้วงลับจับกลเม็ด โลกโซเชียลมีเดียตลาดความงาม
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการสัมมนาเรื่องธุรกิจดิจิทัลสำหรับกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงาม
โดย...พริบพันดาว
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการสัมมนาเรื่องธุรกิจดิจิทัลสำหรับกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงาม (Cosmetics and Personal Care Products) ของโครงการความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างสหรัฐอเมริกา-อาเซียน เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอี (US-ASEAN Business Alliance for Competitive SMEs) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยส่งเสริมยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของเอสเอ็มอี โดยเจาะกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงาม
(Cosmetics and Personal Care Products) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในเชิงความสามารถการแข่งขัน
โดยในการสัมมนาครั้งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเสี่ยงและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการทั้งไทยและอาเซียน เรื่องการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-คอมเมิร์ซ ในระดับภายในประเทศ ภูมิภาค และระหว่างประเทศ รูปแบบของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือ และวิธีแก้ปัญหาของการตลาดดิจิทัล รวมไปถึงข้อกฎหมายและข้อบังคับในการใช้สังคมออนไลน์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ สำหรับการตลาดในเครือข่ายดิจิทัล การขับเคลื่อนของเทคโนโลยีและวิธีการการจัดการให้ดีที่สุดกับผู้บริโภคออนไลน์ การบริการลูกค้า และการค้าปลีก รวมถึงเรื่องราวและประสบการณ์ความสำเร็จของการขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (e-retailing) ของเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงาม
ตลาดออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด
สัดส่วนของประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงขึ้นทุกๆ ปีอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันนี้พบว่าร้อยละ 39 ของประชากรโลก 7,200 ล้านคน ใช้งานระบบอินเทอร์เน็ต และพยากรณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 51 ของประชากรโลก 7,600 ล้านคน ในปี 2019 จากข้อมูลอัตราการเติบโตของยอดขายเครื่องสำอางในช่องทางออนไลน์ของตลาดโลกเติบโตสูงเป็นเท่าตัว ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยมาจากผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียมากที่สุดถึงร้อยละ 8 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 1.2 แสนล้านบาท และส่งออก 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าปีนี้จะขยายตัว 10% ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยอยู่ในอันดับ 16 ของโลก และไทยอยู่ในอันดับ 3 ของเอเชีย ต่อจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนโรงงานรวม 762 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประมาณ 520 ราย
โดยในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น จากที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่หันมาทำตลาดออนไลน์จะสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น 30-40% โดยผลสำรวจพฤติกรรมคนไทยใช้ไลน์ 33 ล้านราย สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก มีผู้ใช้เฟซบุ๊กสูงถึง 28 ล้านราย อันดับ 2 ของโลก ทวิตเตอร์ 4.5 ล้านราย และอินสตาแกรม 1.7 ล้านราย
จากข้อมูลของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว อาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดี กสอ. เปิดเผยว่า จะเร่งผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยให้มีมูลค่าการส่งออกติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า หรือขยายตัว 10% ต่อปี โดยจะส่งเสริมอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งสร้างนวัตกรรม มุ่งผลิตเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ สร้างแบรนด์ และสนับสนุนการรวมคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย
ความต้องการที่จะให้ผู้ประกอบการด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงามมีความรู้ด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นรากฐานของการเข้าถึงตลาดโลก นอกจากนั้น เศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานของดิจิทัลจะเอื้อให้สามารถเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานของบรรษัทข้ามชาติได้ เพราะการจะเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวได้นั้น ผู้ประกอบการต้องมีการบริหารจัดการในด้านต่างๆ ที่ได้มาตรฐานสูงกว่าที่เป็น
อยู่ อาทิ ด้านโลจิสติกส์ ด้านการบริหารห่วงโซ่อุปทาน ด้านธุรกรรมออนไลน์ และด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น องค์ความรู้และประสบการณ์จะช่วยขยายวิสัยทัศน์ความรู้ความเข้าใจ และยกระดับทักษะในการประกอบธุรกิจระดับโลก และการช่วยกันยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการสู่การพาณิชย์ข้ามพรมแดนภายในตลาดต่างๆ ของอาเซียนในอนาคต
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามในการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและอุตสาหกรรมของภูมิภาคอาเซียน
“โดยมีการนำระบบดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดของผู้ประกอบการ รวมทั้งส่งเสริมศักยภาพด้านการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ด้วยการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน”
ประธานคณะกรรมการอำนวยการ สมาคมเครื่องสำอางแห่งอาเซียน และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
เกศมณี เลิศกิจจา กล่าวว่า ตลาดอาเซียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีสัดส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์สูงที่สุด ซึ่งในปัจจุบันตลาดได้เปิดกว้างมากขึ้นจากการก้าวเข้าสู่เออีซี
“ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะต้องพัฒนาศักยภาพตนเองให้มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะการพัฒนาการตลาดด้วยระบบดิจิทัล ทั้งในรูปแบบของอี-คอมเมิร์ซ และอี-เทคโนโลยี รวมไปถึงบริการอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการของเราเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วถึงและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น”
กลเม็ดเคล็ดลับตลาดออนไลน์เผด็จศึกด้วยโซเชียลมีเดีย
ปัจจุบันเครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความงาม ส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีมูลค่าตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกาย เครื่องหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น มีมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศประมาณ 1.2 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 60 และตลาดส่งออกกว่า 8 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 40 ของมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจของธุรกิจ โดยขณะนี้เครื่องสำอางไทยครองส่วนแบ่งตลาดอาเซียนเป็นอันดับ 1 ถึงร้อยละ 40 เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยมีความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ ความชำนาญและคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากภูมิปัญญา
สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยทั่วทั้งประเทศ 762 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดเล็กประมาณ 520 ราย ขนาดกลาง 220 ราย และธุรกิจขนาดใหญ่ 22 ราย ให้ปรับเปลี่ยนวิธีการประกอบธุรกิจสู่ตลาดออนไลน์ รับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล หลังพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ทั้งในประเทศและทั่วโลกหันมาช็อปปิ้งผ่านระบบอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
เมื่อมาดูการเจาะช่องทางผ่านโซเชียลมีเดียกับสินค้าเครื่องสำอางและสุขภาพความงาม กฤษฎา โรจนโสภณดิษฐ์ ผู้อำนวยการโซเชียลมีเดีย บริษัท วินเทอร์ เอเยนซี่ บอกว่า อย่างที่หนึ่ง-ต้องเข้าใจตลาด สอง-เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย โซเชียลมีเดียที่เหมาะสมจะใช้ต้องใช้อย่างเต็มที่และวัดผล
“ความเข้าใจพื้นฐานในโซเชียลมีเดีย แลนด์สเคป แนวโน้มและเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในเมืองไทย และการใช้เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ การใช้โซเชียลมีเดียเชื่อมโยงกับแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เกิดโอกาสในการขาย ประเทศไทยมีประชากร 67 ล้านคน อัตราการใช้โทรศัพท์มือถือประมาณ 95 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากร ซึ่งจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะราคาถูก ปัจจุบันมีคนใช้อินเทอร์เน็ต 38 ล้านคน ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ประมาณเกือบ 60% ของประชากร แนวโน้มในอนาคตก็จะสูงขึ้นมากๆ เพราะ 4จี มาแล้ว การทำธุรกิจออนไลน์และโซเชียลมีเดียจะเติบโตอย่างมาก รวมถึงโลจิสติกส์หรือระบบขนส่งที่ดีขึ้น ทำให้กระจายสินค้าได้ทั่วถึงอย่างรวดเร็ว”
จากการสำรวจพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กของคนไทย พบว่าคนไทยใช้แอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 33 ล้านราย ใช้
เฟซบุ๊ก (Facebook) สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยมีจำนวนผู้ใช้งาน 28 ล้านราย ใช้ทวิตเตอร์ (Twitter) 4.5 ล้านราย และใช้อินสตาแกรม (Instagram) 1.7 ล้านราย
จากสถิติดังกล่าวประกอบกับวิถีชีวิตคนปัจจุบันที่มีเวลาออกไปเดินซื้อสินค้าน้อยลง จึงชี้ให้เห็นว่าหากผู้ประกอบการไทยต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจสู่ตลาดออนไลน์ จะช่วยให้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยกว่าร้อยละ 30-40
“ประเทศไทยมีคนใช้โซเชียลมีเดีย 58% ของประชากรทั้งประเทศ ทั้งโลกใช้โซเชียลมีเดียไม่เหมือนกัน ต้องมีการศึกษาของแต่ประเทศหากทำธุรกิจกับต่างชาติ ประเทศไทยใช้เฟซบุ๊กมากสุด ตามด้วยไลน์ และอินสตาแกรม แต่อินสตาแกรมจะดีที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมธุรกิจเครื่องสำอางและความงาม การขายของผ่านเฟซบุ๊กจะมีเฟซบุ๊กเมสเซจควบคู่กับไลน์ ข้อดีของโซเชียลเน็ตเวิร์กคือมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และหากลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้เจาะจง แต่ความยากก็คือมีการเปลี่ยนกฎอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องติดตามอยู่ตลอดเพื่อให้เท่าทัน ซึ่งต้องสร้างพื้นที่ของตัวเองด้วย อย่างการมีเว็บไซต์ ไม่ต้องพึ่งพาโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเดียว ซึ่งตอนหลังมีการเก็บเงินในเชิงโฆษณาแล้วเพื่อให้คนเห็นโพสต์” กฤษฎา กล่าวย้ำ พร้อมชี้ว่าเมืองไทยมีลักษณะพิเศษในการใช้โซเชียลมีเดียอยู่พอสมควร โดยเฉพาะอินสตาแกรม
“อินสตาแกรมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเอาไว้ขายของ แต่คนไทยนำมาขายของได้ ใช้โอกาสในการขายแบบฝากร้าน ปรับตัวได้เก่งมากในเรื่องนี้ โดยอาศัยดาราหรืออินสตาแกรมของดารา บางธุรกิจทำรายได้เป็นหลายล้านบาท แต่สุดท้ายก็ต้องมีพื้นที่ของตัวเอง อินสตาแกรมกับไลน์สามารถเอื้อรวมในการขายสินค้าในโซเชียลมีเดียได้ อินสตาแกรรมเป็นตัวโชว์สินค้า ส่วนไลน์เอาไว้ติดต่อทำธุรกรรม”
กฤษฎา ขยายความต่อว่า สำหรับยูทูบคนไทยใช้ติดท็อปไฟว์ของโลก พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนเร็ว ต้องทำแชนแนลขึ้นมาให้มีการคอมเมนเตเตอร์และผู้แนะนำตัวสินค้าให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจในการซื้อ ส่วนไลน์ คนใช้ 33 ล้านคน อันดับ 2 ของโลก ต้องมีไลน์แอคเคาต์ของแบรนด์ ซึ่งบริหารจัดการเองได้เช่นเดียวกับเฟซบุ๊ก
“สรุปสำหรับโซเชียลมีเดีย แลนด์สเคป หนึ่ง-กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนไปแล้ว เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูบ ไลน์ เป็นช่องทางการขายแบบใหม่ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ต้องผสมผสานสื่อทั้งหมดในการขาย”
พร้อมกันนั้นเขาได้บอกถึงเคล็ดลับ 5 ข้อ ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งก็คือ เจนซี (Gen C) ซึ่งมีอยู่ 5 C คือ 1.Connect มีพฤติกรรมชอบเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์ก 2.Convenience ชอบสิ่งที่สะดวกสบายของการให้บริการ 3.Content Curation ชอบแชร์และบอกต่อ 4.Community ชอบอยู่กันเป็นกลุ่มตามความชอบ แบ่งออกเป็นกลุ่มในการเชื่อมต่อ 5.Creation ชอบความคิดสร้างสรรค์
“ภาพรวมทั้งหมดคนไทยกระตือรือร้นในการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียอยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้เราไม่ได้ใช้ออนไลน์ แต่เราอยู่ในนั้นเลย เพราะมีสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตติดตัวอยู่ตลอดเวลา”
สำหรับ 5 เคล็ดลับในการทำเอส คอมเมิร์ซ หรือการค้าบนโซเชียลมีเดีย มีดังนี้
1.ยั่วให้อยาก แต่อย่าให้จากไป
ทำอย่างไรให้กลุ่มเป้าหมายแชร์ออกไปด้วยความสมัครใจของเขา ทำให้เกิดกระแส ซึ่งต้องวางกลยุทธ์
2.เสิร์ชต้องเจอ
ต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นทันทีที่ค้นหาในอินเทอร์เน็ต
3.อย่าปล่อยให้ลังเล
หมั่นโปรโมชั่นด้วยการอัพเดทอีเวนต์ลด แลก แจก แถม บ่อยๆ
4.พร้อมปิดการขาย
ต้องหมั่นเช็กยอดสั่งซื้อที่เข้ามาและจัดการติดต่อทันที อย่าให้ลูกค้าต้องรอ
5.บริการการขายต้องดี
เพราะโลกออนไลน์บริการดีจะเงียบ แต่ไม่ดีจะบอกต่อประจานทันที ดราม่าจัดเต็ม
สุดท้าย กฤษฎาเตือนว่าเฟซบุ๊กกับไลน์จะเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยเพราะคุยโต้ตอบกันได้ การขายออนไลน์ต้องมีเวลากับมัน เพราะถ้าไม่ทำจะเป็นดาบสองคมทันที เพราะลูกค้าเดี๋ยวนี้ใจเร็วมากอยากได้ทันที หากพลาดพลั้งหรือทำอะไรที่ไม่ดีไม่ดูแลลูกค้าจะถูกนำมาบอกต่อบนโซเชียลเน็ตเวิร์กเช่นกัน


