ซงหนู–วิถีชีวิตและการเอาตัวรอด บ่มเพาะความสามารถของชาติพันธุ์
ซงหนูคือชื่อชนเผ่าเร่ร่อนที่อยู่ทางตอนเหนือของดินแดนอารยธรรมจีน จีนบันทึกชื่อซงหนูไว้ในฐานะชนเผ่าป่าเถื่อน
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
ซงหนูคือชื่อชนเผ่าเร่ร่อนที่อยู่ทางตอนเหนือของดินแดนอารยธรรมจีน จีนบันทึกชื่อซงหนูไว้ในฐานะชนเผ่าป่าเถื่อนที่เก่งกล้าสามารถในการรบและมักเข้ารุกรานปล้นชิงมาในดินแดนจีน
ซงหนูปรากฏตัวในประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่ยุคจ้านกว๋อ ก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว และสาเหตุที่จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างแนวกำแพงเมืองจีน-สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ก็เพื่อเป็นปราการป้องกันซงหนู และชื่อชั้นของนักรบเผ่าซงหนู ก็สมควรเทียบเป็นนักรบมหัศจรรย์ของโลกเช่นกัน
ซงหนูไม่ทำการเพาะปลูก ใช้ชีวิตเร่ร่อน ถ้าฟากฟ้าและสัตว์ป่าเป็นใจ ซงหนูไม่เดือดร้อนในชีวิตก็จะไม่เข้ารุกรานจีน แต่หากสัตว์ป่าหายาก หรืออยากได้ของกินของใช้ รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อต่อสู้กับชนเผ่าเร่ร่อน หรือแก่งแย่งอำนาจกันเอง ก็มักจะเข้ามาหยิบยืมจากดินแดนจงหยวนหยิบยืมในที่นี้ ชาวจีนเรียกปล้นชิง ซงหนูไม่ค่อยสนใจในดินแดนนัก แต่สนใจแค่ทรัพย์เสบียง
ดินแดนแถบที่ซงหนูอยู่เป็นทุ่งหญ้าและทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เพาะปลูกไม่ง่าย ชนเผ่าซงหนูจึงดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการปศุสัตว์ และการออกล่าสัตว์ในทุ่งกว้าง มีม้าเป็นพาหนะประจำกาย ตรงกันข้ามกับดินแดนจงหยวนซึ่งมีที่ดินและลุ่มน้ำหลากหลายกว่า อารยธรรมจีนจึงเริ่มต้นด้วยการเกษตรกรรมเป็นหลัก ยิ่งเพาะปลูกได้ดี ก็ยิ่งเจริญเหลือกินเหลือเก็บ ผู้คนตั้งแต่สูงศักดิ์จนถึงชาวบ้านจึงจดจ่อที่การเพาะปลูกสะสมและขยายจับจองดินแดน
เด็กน้อยซงหนู 3 ขวบง้างธนูยิงเล่นได้ 5 ขวบควบเล่นบนหลังม้า เมื่อโตขึ้น จะหาอาหารก็ออกล่าสัตว์ยิงนก อดอยากหรืออิ่มท้องขึ้นกับฝีมือยิงธนู ทั้งหมดเป็นทักษะเดียวกับการออกรบ แต่สำหรับในดินแดนจีน ผู้คนจับเสียมจับจอบเดินเท้าปลูกผักปลูกพืช เพื่อทำมาหากินเอาชีวิตรอด ในชีวิตชาวบ้านจีน ใช้ม้าใช้วัวขนของมากกว่าควบขี่
สำหรับด้านการทหารในดินแดนจีนกว่าจะเกณฑ์ได้ไพร่พล ฝึกปรืออาวุธ ก็กินเวลาเนิ่นนาน เพราะประชาชนคุ้นชินกับจอบเสียม และหากเร่งรัดสร้างกองกำลังเร็วมากเกิน เศรษฐกิจการกินการใช้ก็เสียศูนย์ แต่สำหรับซงหนู ฝีมือการรบกับปากท้องถูกผูกเข้าด้วยกัน ประชากรซงหนูแทบทั้งหมดจึงเปลี่ยนไปเป็นทหารได้ในพริบตา ไม่ต้องเหลือประชากรส่วนใดไว้ทำไร่ไถนาหรือเป็นกองเสบียง
เอาเป็นว่าสำหรับชาวซงหนู ทั้งหากินยามสงบ สู้รบยามสงคราม ครบเครื่องในคนเดียว
หากทหารซงหนูออกรบ 1 แสนคน จึงเป็นทั้งทหารทั้งกองเสบียงทั้ง 1 แสน ขณะที่ทหารจีนออกรบ 1 แสน กลับมีทหารที่รบได้จริงไม่เต็มจำนวน เพราะส่วนหนึ่งต้องเป็นพ่อครัว กรรมกรขนเสบียง คนดูแลม้าและอาวุธ ฯลฯ
ซงหนูจึงเป็นกลุ่มคนเล็กๆ ที่ก่อปัญหาใหญ่ๆ ให้จีนได้เสมอ
เมื่อสิ้นราชวงศ์ฉิน เป็นยุครุ่งเรืองของซงหนู จีนยังปวกเปียกจากผลของสงครามกลางเมืองเพื่อตั้งราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่ (หลิวปัง) จึงไม่มีกำลังที่จะต่อกรกับซงหนูได้ จำต้องยอมจำนน ขอผูกสัมพันธ์เป็นเครือญาติ โดยการส่งองค์หญิงให้แต่งงานกับผู้นำซงหนู
แน่นอนเป็นองค์หญิงของก๊อบจากจีน ซึ่งหามาจากสาวในรั้วในวังแล้วแต่งตั้งให้เสมือนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เพื่อส่งออกโดยเฉพาะ
แต่วิธีผูกสัมพันธ์ก็ใช้ได้ผลแค่ชั่วคราว ไม่นานนัก ซงหนูก็เข้าบุกปล้นชิงชายแดนต่อ ถึงรัชกาลของ ฮั่นเหวินตี้ ซงหนูก็ยังเข้าบุกปล้นในดินแดนจีนอยู่เนืองๆ
สมัยฮั่นเหวินตี้ เศรษฐกิจของจีนดีขึ้นพอควร แต่ฝีมือการสู้รบยังสู้ซงหนูไม่ได้ ราชสำนักฮั่นจึงใช้วิธีเจรจาต๊าอ่วย ส่งส่วยให้พวกซงหนูทุกปีๆ
ซงหนูไม่ต้องปล้นประหยัดแรง จีนก็ไม่บอบช้ำเสียหาย จัดว่า วิน วิน แต่ในวิน วิน มีบางคน วินกว่า
ของที่ส่งให้เป็นบรรณาการ นอกจากผ้าไหมแพรพรรณ ก็ยังมีข้าวของเครื่องใช้ในรั้วในวัง นานวันเข้าวิถีชีวิตของชาวซงหนู (ชั้นสูง) เริ่มเปลี่ยน เสื้อผ้าข้าวของแบบชนเผ่าเร่ร่อนกลายเป็นของล้าสมัย ของใหม่จากดินแดนจงหยวนนี่สิของดี
ซงหนูชั้นผู้นำนิยมเช่นไร ไม่นานซงหนูรากหญ้าก็นิยมเช่นนั้น วิถีชีวิตและเศรษฐกิจของซงหนูส่วนหนึ่งค่อยๆ ต้องพึ่งพาอารยธรรมจีนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จีนกลับไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรซงหนูนัก
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ แต่นโยบายของฮั่นเหวินตี้ นอกจากได้ถ่วงเวลาให้จีนเข้มแข็งแล้ว ยังไปปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตชนเผ่าเร่ร่อนที่ขี่ม้าล่าสัตว์ส่วนหนึ่ง ให้กลายมาเป็นคนเมือง แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ และเสพย์สุขกับสิ่งของเกินการดำรงชีพของตนมากขึ้น
กว่า 70 ปีผ่านไปนับแต่ตั้งราชวงศ์ฮั่น พอมาถึงรัชสมัยของฮ่องเต้ฮั่นหวู่ตี้ จีนได้บ่มเพาะทั้งกำลังทรัพย์และความสามารถทางการทหาร ฮั่นหวู่ตี้จึงมีนโยบายตีขับไล่ซงหนูออกไปจากตอนเหนือของแผ่นดินจีน
หลังจากนั้นไม่นาน ซงหนูอ่อนแรง แม้กลับมาคืนถิ่นเดิมได้ แต่ก็แตกเป็นสองพวก ซงหนูป่าเถื่อนใช้ชีวิตเร่ร่อน กับซงหนูบ้าแกดเจ็ตคนเมือง ซงหนูเร่ร่อนเรียกซงหนูเหนือ ซงหนูบ้าแกดเจ็ตเป็นซงหนูใต้ ซงหนูใต้นี่แหละที่เป็นพันธมิตรกับจีน และพร้อมจะมาร่วมวงศ์วัฒนธรรมในประวัติศาสตร์หน้าถัดไป
ไม่นานนักชื่อของซงหนูป่าเถื่อนก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีน
ความเคยชินคือสิ่งชี้ชะตา ซงหนูไม่ได้เป็นชนชาตินักรบที่เก่งกล้าเพราะสายเลือด แต่เพราะต้องขี่ม้ายิงธนูเพื่อความอยู่รอด จึงมีสัญชาตญาณการรบกันแทบทุกคน สำหรับราชวงศ์ฮั่นยังต้องใช้เวลาและกำลังเศรษฐกิจมหาศาลในการฝึกฝนกองกำลังมาโดยเฉพาะเพื่อต่อกรกับซงหนู และเมื่อซงหนูเคยชินกับการลงจากหลังม้ามานั่งสุขสบายแบบคนเมือง ความเป็นนักรบเก่งกล้าก็ย่อมหดหายไป
หานเฟยจื่อ นักปราชญ์และที่ปรึกษาทางการเมืองยุคจ้านกว๋อ กล่าวว่า หากอยากมีพลแม่นธนูฝีมือเยี่ยมในแคว้น จงตัดสินคดีพิพาทของประชาชนด้วยการวัดฝีมือธนู (ใครยิงแม่นชนะคดี)
นั่นคืออย่ามามัวแต่พร่ำสอนให้ผู้คนในสังคมเป็นอย่างไร แต่จงสร้างเงื่อนไขของการอยู่รอดของสังคมให้เป็นอย่างนั้นแทน ชนชาติซงหนูแม้มีจำนวนน้อย แต่ได้เปรียบที่ว่ามีเงื่อนไขความอยู่รอดด้วยการฝีมือล่าสัตว์ยิงธนู จึงโดดเด่นในโลกยุคโบราณ
ในปัจจุบันบางสังคมสร้างเงื่อนไขในสังคมหล่อหลอมให้ประชาชนในชาติอยู่รอดได้ด้วยความซื่อสัตย์ หรือขยันหมั่นเพียร ทำงานเป็นทีม บางสังคมก็ด้วยความสร้างสรรค์ และลูกล่อลูกชน หรืออาจจะมีบางสังคมที่สร้างเงื่อนไขให้อยู่ได้ด้วยความเชื่อง เส้นสายและระบบการเลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจ
แล้วเงื่อนไขแบบไหนที่ทำให้คนของตนมีศักยภาพในการต่อสู้ฟาดฟันในสมรภูมิโลกยุคปัจจุบันมากกว่ากัน คนในสังคมนั้นก็จะอยู่รอดในโลกอย่างภาคภูมิ


