ตามหา ‘สเต็มเซลล์’ คู่แท้ 1 ในครึ่งแสน
เรื่องราวการขอบริจาคสเต็มเซลล์ให้กับหญิงสาวลูกครึ่งไทยอิตาเลียน ลาร่า คาซาลอตติ
โดย...มีนา / พาแลง
เรื่องราวการขอบริจาคสเต็มเซลล์ให้กับหญิงสาวลูกครึ่งไทยอิตาเลียน ลาร่า คาซาลอตติ เป็นเรื่องที่พูดถึงบนโลกโซเชียลมาได้สักระยะหนึ่ง ภายใต้แคมเปญ Match4lara Thailand a Search to Save Lives ในวัย 24 ปีเธอป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมียชนิดเฉียบพลัน
ลาร่าอุทิศชีวิตให้กับการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ในขณะที่เธอกำลังทำงานกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เกี่ยวกับสถานการณ์แรงงานต่างด้าวในประเทศไทย เธอก็เริ่มมีอาการป่วยและตรวจพบว่าเป็นลูคีเมีย เธอต้องได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หรือสเต็มเซลล์เม็ดเลือดจากการบริจาคอย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่จะหาผู้ที่มีสเต็มเซลล์เม็ดเลือดที่ตรงกับเธอไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่จากน้องชายและคนในครอบครัวของเธอเองยังไม่ตรงกัน ครอบครัวของลาร่าจึงทำแคมเปญ Match4lara ขึ้นเพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าลงทะเบียนบริจาคสเต็มเซลล์เม็ดเลือด โดยไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเหลือลาร่า แต่เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการสเต็มเซลล์อีกนับหมื่นคนทั่วโลกและเกือบ 2,000 คนในประเทศไทย
ค่า HLA ตรงกันไม่ใช่เรื่องง่าย
การจะหาผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่เข้ากันได้กับผู้ป่วยหรือที่เรียกว่า Matched Donor เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยจะต้องพิจารณาจากค่า HLA (Human Leukocyte Antigen) บนเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเหมือนรหัสทางพันธุกรรมที่จำเป็นต้องตรงกับผู้รับบริจาค จึงจะสามารถนำไปใช้ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพดีที่สุด
ค่า HLA มีความหลากหลายตามชาติพันธุ์ ขนาดพี่น้องที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันยังมีโอกาสพบ HLAMatched หรือมีค่า HLA ตรงกันได้เพียง 30% เท่านั้น ฉะนั้นการเสาะหาผู้บริจาคที่ไม่ใช่พี่น้อง แต่มี HLA ที่เหมือนกันจึงเป็นอีกโอกาสหนึ่งสำหรับการรักษา แม้จะมีโอกาสเพียง 1 ใน 5 หมื่นก็ตาม
การลงทะเบียนผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์เม็ดเลือด ในทุกประเทศยิ่งได้ข้อมูลมากเท่าไหร่ โอกาสหาผู้บริจาคที่มีเซลล์ที่เข้ากันได้จะมีมากขึ้น
ลาร่า ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute MyeloidLeukemia: AML) ซึ่งเป็นลูคีเมียชนิดรุนแรงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือการใช้วิธีปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือด (Hematopoietic Stem Cell transplant) ที่ต้องมี HLA Matched น้องชายเพียงคนเดียวของเธอก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ เพราะตรวจ HLA แล้วไม่ตรงกัน ด้วยข้อจํากัดเหล่านี้อาจส่งผลให้การรักษาล่าช้า ลาร่าจึงจำเป็นต้องหาสเต็มเซลล์เม็ดเลือดที่เข้ากันได้จากผู้บริจาคอื่นที่ไม่ใช่พี่น้อง ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีผู้ลงทะเบียนบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดคนไหนจากทั่วโลกที่มี HLAMatch ตรงกับลาร่าเลย
ครอบครัวของลาร่าจึงสร้างโครงการ Match4lara ขึ้น และปัจจุบันกําลังเผยแพร่อยู่ในประเทศอังกฤษ สหรัฐ รวมถึงประเทศไทย โดยในประเทศไทยได้รับความร่วมมือจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โดยมีลาร่าเป็นตัวแทนผู้ป่วยลูคีเมียจากผู้ป่วยทั่วประเทศกว่า 1,900 คน ด้วยการกระตุ้นให้คนไทยออกมาแสดงความจํานงเป็นอาสาสมัครบริจาคสเต็มเซลล์กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย
ลูคีเมียเป็นได้ทั้งชายและหญิง
ลูคีเมีย (Leukemia) หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Hematopoietic Stem Cell) ในไขกระดูก ที่มีการเพิ่มจำนวนของเซลล์ตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวขึ้นอย่างมาก และเซลล์เหล่านั้นไม่สามารถเจริญเป็นตัวแก่ตามปกติ
เซลล์ตัวอ่อนหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวเหล่านี้ จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แทนที่และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดปกติในไขกระดูก ซึ่งสร้างเม็ดเลือดแดงเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดผู้ป่วยจึงมีอาการซีด ภูมิต้านทานต่ำ ติดเชื้อ และมีเลือดออกง่าย
รศ.พ.อ.นพ.รชต ลำกูล กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกองพยาธิวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า ลูคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง แบบเฉียบพลันแบ่งเป็น ALL (Acute lymphoblastic leukemia) และ AML (Acute myeloid leukemia)
“ALL เป็นมะเร็งพบบ่อยที่สุดในเด็ก และผลการรักษาในเด็กดีสามารถรักษาหายขาดจากการใช้ยาเคมีบำบัดสูงถึงร้อยละ 80 ในทางกลับกันในผู้ใหญ่จะพบ AML มากและรักษาให้หายขาดได้ยากจากยาเคมีบำบัด การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หรือที่เรียกการปลูกถ่ายไขกระดูกจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง” หมอรชต ให้อรรถาธิบาย
ฟีดแบ็กจาก Match4lara Thailand
น.ท.หญิง พญ.อุบลวัณณ์ จรูญเรืองฤทธิ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวถึงกระแสความสนใจการลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell) ว่า ภายหลังมีแคมเปญ Match4lara หนึ่งสัปดาห์ สภากาชาดไทยพบว่ามีผู้แสดงความประสงค์บริจาคสเต็มเซลล์แล้ว 1,000 ราย ซึ่งปัจจุบันมีอาสาสมัครที่ขึ้นทะเบียนมากกว่า 1.8 แสนราย มีผู้บริจาคสเต็มเซลล์ให้ผู้ป่วยสำเร็จแล้ว 194 ราย แต่ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ขาดโอกาสในการรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ดังนั้นการเกิดแคมเปญดังกล่าว ทำให้ตัวเลขของผู้ลงทะเบียนมากขึ้นเท่ากับส่งผลดีต่อผู้ป่วยรายอื่นด้วยเช่นกัน
“ผู้บริจาคสเต็มเซลล์ต้องเป็นผู้บริจาคโลหิตก่อน หากสนใจบริจาคสเต็มเซลล์ก็ทำการลงทะเบียนโดยจะมีคำถามสุขภาพคัดกรองอีกชั้นหนึ่ง กรณีที่พบว่าสเต็มเซลล์ของผู้บริจาคสามารถแมตช์กับผู้ป่วยได้สภากาชาดไทยจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการบริจาค ซึ่งโดยทั่วไปมีสองวิธี คือ ดึงจากเส้นเลือดดำและไขกระดูก ทั้งสองวิธีต้องทำในโรงพยาบาล ฉะนั้นขั้นตอนการบริจาคสเต็มเซลล์จึงยุ่งยากกว่า
ในหลายประเทศใช้วิธีเก็บเนื้อเยื่อจากช่องปาก หรือน้ำลายส่งห้องปฏิบัติการ หากเนื้อเยื่อเข้ากันได้กับผู้ป่วย จึงเชิญให้มาบริจาค แต่หากพบว่าร่างกายอ่อนแอก็จะถูกคัดออกไป วิธีการนี้ทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ เมืองไทยจึงเลือกวิธีการคัดกรองจากผู้บริจาคโลหิตควบคู่กับให้ความรู้ผู้บริจาคทำให้การตัดสินใจรอบคอบและการคัดกรองละเอียดถี่ถ้วนขึ้น”
หมออุบลวัณณ์ ให้ข้อมูลอีกว่า การบริจาคสเต็มเซลล์ในทางการแพทย์ถือว่ามีความเสี่ยงน้อย เพราะว่าทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสเต็มเซลล์จะนำไปใช้กับโรคที่แพทยสภารับรองแล้วว่ารักษาได้จริง อย่างเช่น โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดโลหิตขาว หรือลูคีเมีย มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ต้องการสเต็มเซลล์จะต้องเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาด้วยวิธีปลูกถ่ายไขกระดูกได้จริง มีห้องผ่าตัด มีธนาคารเลือด มีทีมแพทย์ที่ทำการปลูกถ่ายและมีประสบการณ์ในการปลูกถ่ายพอสมควร ซึ่งขณะนี้ในเมืองไทยมี 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
“เมื่อแพทย์วินิจัยว่าจะต้องใช้สเต็มเซลล์ในการรักษา จะแสดงความจำนงเข้ามาที่สภากาชาด โดยต้องนำตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยเข้ามา แล้วเราค้นหาว่าสามารถเข้ากับผู้บริจาคหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่แจ้งความจำนงกับสภากาชาดไทยจำนวน 1.8 แสนราย หรือผู้บริจาคอื่นที่อยู่ในฐานข้อมูลทั่วโลกด้วย อัตราการเข้ากันได้ของผู้ป่วยและผู้บริจาค คือ 1:1 หมื่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ
ที่ผ่านมาสภากาชาดไทยมีความพยายามให้มีธนาคารเก็บเลือดจากรกไปแช่แข็งเอาไว้ได้หลายปี เพื่อใช้สเต็มเซลล์จากเลือดรกมาใช้ปลูกถ่าย แต่ 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากคนไทยตัวเล็ก เลือดที่เก็บได้จากรกมีปริมาณน้อยมาก ไม่พอปลูกถ่ายจึงไม่ได้รับผลสำเร็จทำให้โครงการการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือดรกเป็นอันยุติไป” ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ กล่าว
คนไทยไม่นิยมบริจาคสเต็มเซลล์
รศ.พ.อ.นพ.รชต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้คนไทยไม่นิยมบริจาคสเต็มเซลล์ เพราะอาจยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่ปัจจุบันเริ่มมีความรู้เรื่องนี้มากขึ้น การบริจาคจะทำให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดมีข้อมูล HLA ที่มากพอสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ เมื่อผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคให้หายขาดโดยวิธีนี้ และเป็นความโชคดีที่ HLA ตรงกับผู้บริจาค ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติก็จะประสานมาทางผู้บริจาค และให้คำปรึกษาดูแลจนเสร็จสิ้นขบวนการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดนำไปรักษาผู้ป่วย ซึ่งก็ไม่ได้มีการกดดันให้ว่าต้องบริจาค ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ โดยไม่มีการแจ้งว่าจะนำไปบริจาคให้ใคร
คุณหมอยังอธิบายเพิ่มว่า การบริจาคสเต็มเซลล์ทำได้ 2 วิธี คือ การเจาะไขกระดูก ที่ต้องดมยาสลบ และทำกันในห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ ซึ่งผู้บริจาคต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อย 3 วัน ส่วนอีกวิธีไม่ต้องหลับคือ นำเลือดจากเส้นเลือดดำใหญ่ เข้าเครื่องแยกเซลล์เม็ดเลือดขาว ส่วนเม็ดเลือดแดงที่ไม่ใช้ก็จะนำกลับเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม เสียเวลาเพียงแค่ครึ่งวันก็บริจาคเสร็จและกลับบ้านได้เลย
ขั้นตอนบริจาคสเต็มเซลล์
ผู้สมัครใจบริจาคสเต็มเซลล์ต้องอายุ 18-50 ปี
ผู้แสดงความจำนงต้องเก็บตัวอย่างเลือด 5 ซีซี ไปตรวจหาเนื้อเยื่อลักษณะทางพันธุกรรมที่เรียกว่า HLA
นำข้อมูลที่ได้ไปลงทะเบียนไว้บนฐานข้อมูลจากทั่วโลก เมื่อมีผู้ป่วยรายใหม่ที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็สามารถเข้ามาตรวจสอบว่าสามารถแมตช์กับผู้บริจาคได้หรือไม่
การเข้าบริจาคโลหิตพร้อมกับการลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครบริจาคสเต็มเซลล์ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเลือดได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02-256-4300, 02-263-9600-99 ต่อ 1301, 1310, 1771


