อเมเดโอ โมดิกลานี กับภาพ(ไม่)เหมือนสไตล์โมเดิร์น
ช่วงนี้ศิลปินจากโลกไปเหมือนใบไม้ร่วง จนหลายคนจินตนาการไปว่า สงสัยจะมีงานชุมนุมศิลปินบนสวรรค์
โดย...อฐิณป ลภณวุษ artofmylifeasafrog.blogspot.com
ช่วงนี้ศิลปินจากโลกไปเหมือนใบไม้ร่วง จนหลายคนจินตนาการไปว่า สงสัยจะมีงานชุมนุมศิลปินบนสวรรค์ สำหรับ อเมเดโอ โมดิกลานี (มีชีวิตระหว่างปี 1884-1920) จิตรกรและประติมากรชาวอิตาเลียนก็เสียชีวิตในวันนี้ (24 ม.ค.) เมื่อเกือบร้อยปีก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะลาจากโลก
อเมเดโอเป็นที่รู้จักกันด้วยผลงานภาพพอร์เทรตและภาพนู้ดสไตล์โมเดิร์น ที่มีคาแรกเตอร์ตัวยืดๆ ในสไตล์ที่ใครเห็นก็ต้องร้องอ๋อ
แม้ว่าในขณะที่มีชีวิตอยู่ เขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จทางด้านชื่อเสียงและเงินทองมากนัก หากมาโด่งดังหลังจากที่ชีวิตหาไม่แล้ว คล้ายๆ กับศิลปินหลายๆ คนในยุคก่อน โดยได้การยอมรับทางด้านสไตล์การวาดภาพอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ในการซื้อขายงานศิลปะนั้น ภาพนู้ดภาพหนึ่งของอเมเดโอ ก็เป็นหนึ่งในสิบภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลกอยู่ในขณะนี้ (Nu Couche)
อเมเดโอ เคลเมนเต โมดิกลานี ใช้ชีวิตวัยเด็กในอิตาลี โดยศึกษาด้านศิลปะจากผลงานของจิตรกรเรอเนสซองซ์ทั้งหลาย ก่อนจะย้ายมายังกรุงปารีสในปี 1906 ที่เขาได้รู้จักสนิทสนมกับจิตรกรดังๆ อย่าง ปาโบล ปิกัสโซ และ คอนสแตนติน บรันคูซี อเมเดโอเริ่มสร้างสรรค์ผลงานทั้งภาพดรออิ้งและภาพเขียน โดยเฉพาะภาพพอร์เทรตซึ่งดูไม่เหมือนแบบที่วาดเท่าไหร่ แต่เป็นการตีความวาดออกมาเป็นเอกลักษณ์สไตล์เขา ก่อนที่ภายหลังเขาจะหันมาทุ่มเทให้กับงานประติมากรรม โดยยึดตามขนบที่ตัวเองเคยวาดภาพคนทั้งตัวเอาไว้
อเมเดโอ เกิดในครอบครัวชาวยิวที่ลิวอร์โน เมืองท่าในประเทศอิตาลี ซึ่งมีชุมชนชาวยิวขนาดใหญ่ พ่อของเขาสืบทอดธุรกิจเหมืองแร่ของครอบครัว แต่โชคร้ายมาเจอเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในช่วงลูกคนที่ 4 อย่างอเมเดโอ กำลังจะเกิด เคราะห์ดีที่เจ้าหนี้ยึดมั่นประเพณีที่จะไม่ยึดเตียงนอนของผู้หญิงท้องและแม่ลูกอ่อน พวกเขาจึงยังมีเตียงนอนและทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่แอบซุกเอาไว้บนเตียง
จิตรกรชาวอิตาเลียนเจ็บออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่เด็ก อายุ 11 ขวบ เขาป่วยเป็นไทฟอยด์ พออายุ 16 ปี ก็ป่วยเป็นวัณโรค แต่ก็รอดตายมาได้ ก่อนที่โรคเดิมจะกลับมาคร่าชีวิตเขาในบั้นปลาย
อเมเดโอ เรียกตัวเองว่าเป็นจิตรกรตั้งแต่จำความได้ เรียกว่าตั้งแต่ก่อนจะเข้าศึกษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำไป ตอนอายุ 14 ปี ขณะที่ไข้กำลังขึ้นจากโรคไทฟอยด์ เขาก็เพ้อว่าต้องไปชมภาพเขียนที่ปาลาซโซ พิตติ และอุฟฟิซี (หอศิลป์แห่งชาติ) ในฟลอเรนซ์ให้ได้ เพราะว่าหอศิลป์ในลิวอร์โนมีภาพเขียนของปรมาจารย์จากยุคเรอเนสซองซ์น้อยเกินไป นอกจากแม่จะพาไปอย่างที่สัญญาไว้แล้ว เธอยังส่งอเมเดโอไปเรียนกับอาจารย์สอนวาดรูปคนดังของลิวอร์โน อย่าง จูเกลโม มิเคลิ อีกด้วย
อเมเดโอ โมดิกลานี ศึกษากับจูเกลโม ระหว่างปี 1898-1900 เพื่อนๆ นักเรียนรุ่นเดียวกัน มี เยเวลีน ลอยด์, จูโล เซซาเร วินโซ, มานิโล มาติเนลลิ ฯลฯ โดยเขาเองสามารถสร้างสรรค์รูปแบบที่เป็นสไตล์ของตัวเองออกมาได้ก่อนใคร ผลงานของเขายังคงมีกลิ่นอายของมาสเตอร์ชาวอิตาเลียนจากยุคเรอเนสซองซ์อยู่บ้าง หลังจากย้ายไปยังฝรั่งเศสใหม่ๆ ทว่าได้ผนวกกลิ่นอายสไตล์โมเดิร์นที่ได้รับอิทธิพลจากเพื่อนศิลปินร่วมสมัย อย่างโจวานนี โบลดินี และ อองรี เดอ ตูลูส-โลเทร็ก
สำหรับผลงานของอาจารย์จูเกลโม ออกในแนวโมเดิร์นร่วมสมัย โดยเขามักวาดภาพแนวแลนด์สเคป และพยายามกระตุ้นให้ลูกศิษย์ออกไปวาดภาพกลางแจ้ง แต่ไม่ใช่ทางของอเมเดโอ โมดิกลานี ที่ชอบวาดภาพในสตูดิโอมากกว่า ผลงานภาพแลนด์สเคปของเขาสมัยยังอยู่กับจูเกลโม ตอนนี้กลายเป็นของหายาก (น่าจะหลงเหลืออยู่ราว 3-4 ภาพ)
นอกจากเรียนรู้เรื่องภาพวาดภาพแลนด์สเคปแล้ว เขายังเรียนการวาดพอร์เทรต สติลไลฟ์ และภาพนู้ดจากอาจารย์คนแรกด้วย ซึ่งเขาแสดงผลงานให้เห็นว่า วาดภาพนู้ดได้เก่งกว่าใครในชั้นเรียน
อเมเดโอ ตั้งชื่อเล่นให้อาจารย์ของเขาว่า ซูเปอร์แมน ไม่เพียงเพราะเขาเก่งกาจในการวาดภาพทุกอย่าง แต่ที่สำคัญคือ เขาชอบยกคำพูดปรัชญาจากหนังสือ Thus Spoke Zarathustra ของฟรีดริกซ์ นิทซ์เช นักปรัชญาชาวเยอรมันมาสอนในห้องเรียนด้วย
ในปี 1902 อเมเดโอ สอบเข้า Scuola Libera di Nudo (โรงเรียนสอนวาดภาพนู้ด) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันศิลปะในกรุงฟลอเรนซ์ แต่เขาเป็นวัณโรคไม่หายสักที จึงขอย้ายไปเรียนที่สถาบันศิลปะในเวนิสแทน ทว่าดูเหมือนเขาจะสนใจการไปใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาแบบโบฮีเมียนมากกว่าการศึกษาเล่าเรียนในสถาบัน
ปี 1906 เขาย้ายมายังกรุงปารีส ซึ่งนับเป็นแหล่งรวมของศิลปินอาวองต์-การ์ดทั้งหลาย โดยในปีเดียวกันนั้น จิตรกรที่กำลังจะยิ่งใหญ่ในโลกศิลปะ อย่าง จีโน เซเวรินี และฆวน กรีส ก็เพิ่งเดินทางมาที่นี่พร้อมๆ กับเขา อเมเดโอปักหลักที่เลอ บาโต-ลาวัวร์ ย่านซ่อมซ่อของศิลปินในมงต์มาร์ตร์ เช่าสตูดิโอบนถนนโกแลงกอร์กต์ พยายามที่จะยึดอาชีพศิลปินให้รุ่งให้ได้
เพียงเวลาไม่นานหลังมาถึงกรุงปารีส เขาก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือไปเป็นหลังมือ จากหนุ่มหล่อการศึกษาสูงจากอิตาลี กลายเป็นเจ้าชายผู้ร่อนเร่ อเมเดโอกลายเป็นคนติดเหล้าและติดยา ซึ่งมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า เป็นเพราะเขารู้ว่าโรคของเขาคงจะรักษาไม่หาย จึงหันเข้าหาสุราและยาเสพติด ในที่สุดชีวิตของเขาก็จบลงอย่างแสนเศร้าและแสนสั้น แทบไม่ต่างจาก วินเซนต์ ฟาน โคค
ในช่วงที่ไปถึงกรุงปารีสแรกๆ เขาสร้างสรรค์ผลงานอย่างบ้าคลั่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งวาดเป็นร้อยๆ รูป อย่างไรก็ตามภาพจำนวนมากได้หายไป แถมยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกทำลายโดยน้ำมือของเขาเอง แล้วก็มีอีกหลายส่วนที่พอย้ายที่อยู่เขาก็ทิ้งภาพวาดเหล่านั้นเอาไว้ (ย้ายบ่อยมาก) รวมทั้งอีกหลายภาพที่ยกให้บรรดาแฟนสาว ซึ่งส่วนมากพวกหล่อนก็โยนทิ้ง
หญิงสาวคนแรกที่เขาจริงจังด้วย คือ กวีหญิงรัสเซีย อันนา อัคฮมาโตวา ที่เขาเจอในปี 1910 ตอนนั้นเขา 26 ปี เธอ 21 ปี และแต่งงานแล้ว แต่พวกเขาก็แอบมีสัมพันธ์กัน อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดเธอก็เลือกที่จะอยู่กับสามี
นักประวัติศาสตร์ศิลป์ บอกว่า อเมเดโอน่าจะไปได้ถึงจุดสูงสุดในชีวิตที่ดีกว่านี้ หากเขาไม่เริ่มต้นทำลายตัวเองด้วยเหล้าและยา


