วันเดียว เที่ยว3 ภู อุดรธานี
เชื่อว่าในจินตภาพของคนโดยทั่วไป เมื่อพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวของ จ.อุดรธานี มักจะนึกถึงบ้านเชียง
โดย...จำลอง บุญสอง
เชื่อว่าในจินตภาพของคนโดยทั่วไป เมื่อพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวของ จ.อุดรธานี มักจะนึกถึงบ้านเชียง ทะเลบัวแดงศาลเจ้าปู่-ย่า แม่น้ำโขง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บนพื้นราบ น้อยคนนักที่จะคิดว่าอุดรฯ ก็มีแหล่งท่องเที่ยวเป็น “ภูเขา” เช่นเดียวกับหลายจังหวัดในที่ราบสูงอีสาน
วันนี้จึงขอแนะนำ 3 ภู อุดรฯ ทั้งเก่าคลาสสิกและใหม่แกะกล่อง โดยจะเรียงตามลำดับการถ่ายภาพเป็นหลักให้ง่ายต่อการเดินทางไปเก็บภาพ ตามยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับการโพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดีย
เช้าตรู่ : ดูอรุณรุ่งบนภูหินจอมธาตุ
เริ่มต้นภูแรก ภูหินจอมธาตุ เหตุที่แนะนำเป็นแห่งแรก เพราะบนภูมีหินเทินที่เกิดจากน้ำกัดกร่อนหินทราย มันตั้งอยู่ตรงหน้าผาทางทิศตะวันออกพอดี เวลาถ่ายภาพจึงต้องรีบไปตั้งแต่เช้ามืด เผื่อเวลาเดินขึ้นเขาประมาณ 1 กม. ให้ทันแสงสีส้มม่วงแดงของพระอาทิตย์ตัดกับขอบฟ้าสีครามน้ำเงินของราตรีกาลก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งนับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ช่วงเวลาน่าเที่ยวจะเหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวภูเขาทั่วไป คือ ช่วงปลายฝนต้นหนาวที่อากาศกำลังดี มีเมฆบางๆ เหลืออยู่บนท้องฟ้า และดวงอาทิตย์แดงกลมใหญ่เหมือนไข่แดง
ภูหินจอมธาตุเป็นวนอุทยาน ห่างจากตัวเมืองอุดรฯ 38 กม. มีเนื้อที่ 2.5 หมื่นไร่ เชื่อมต่อกับ จ.หนองบัวลำภู บนภูแห่งนี้แม้จะไม่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายนัก แต่เหมาะสำหรับการออกค่ายของเยาวชน ซึ่งทางจังหวัดพยายามผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอุดรธานี
ช่วงสาย : ถ่ายรูปดอกไม้บานบนภูฝอยลม
ภูที่สองเมื่อเวลาเริ่มสาย คือ ภูฝอยลม ลักษณะไม่ต่างจากภูหินจอมธาตุมากนัก แต่ที่เป็นไฮไลต์คือ ทางจังหวัดได้เนรมิตพื้นที่บนภูฝอยลมให้เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความสวยงามและสัมผัสอากาศหนาวได้ฟรีๆ แต่โดยปกติในแต่ละปีจะเป็นสวนดอกทิวลิปที่ทางจังหวัดปลูกไว้ ด้านบนจึงเต็มไปด้วยวัยรุ่นหนุ่มสาวและครอบครัวขึ้นมาถ่ายภาพสวนดอกไม้ที่พิเศษกว่าปีก่อนๆ อีกทั้งการเดินทาง
ก็ง่ายดายด้วยรถยนต์ขึ้นไปถึงยอดดอย
ภูฝอยลมตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพานน้อยใน อ.หนองแสงและอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพันดอน-ปะโค มีพื้นที่ประมาณ 192,350 ไร่ คำว่า ฝอยลม ได้ชื่อมาจากไลเคนส์ชนิดหนึ่งที่มักเกาะอยู่ตามต้นไม้ในป่าสูง (ความจริงภูฝอยลมก็สูงไม่มากนัก แค่ 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ซึ่งนอกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ และมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอีสาน
เวลาอันเหมาะสมในการถ่ายรูปดอกไม้ให้ได้สีสันสดใสคือ ตั้งแต่ 07.00 น. เป็นต้นไป เพราะแสงช่วงเช้าของฤดูหนาวนั้นจะให้แสงอุ่น โดยเฉพาะช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นไปไม่นานจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพดอกไม้ สีสันของมันจะสดกว่าช่วงกลางวันและยิ่งได้เม็ดน้ำเกาะตามดอกตามใบด้วยแล้ว ยิ่งสวยงามและมีชีวิตชีวา
ตกบ่าย : ย่างกายสู่อดีตที่ภูพระบาท
ภูสุดท้ายใต้แสงตะวันแรง คือ ภูพระบาท แหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของอีสาน ซึ่งในอนาคตอันใกล้จะกลายเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย ด้วยความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ครั้งหนึ่งพื้นที่บริเวณภูพระบาทเคยเป็นแหล่งที่อยู่ของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยืนยันด้วยหลักฐานภาพเขียนสีอายุ 3,000-4,000 ปี ที่มีให้เห็นมากมาย ร่องรอยของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การแกะสลักหินทรายเป็นพระพุทธรูปตามเชิงหินและหลืบถ้ำเจดีย์แบบล้านช้าง รอยพระพุทธบาทบัวบก รอยพระพุทธบาทหลังเต่า ใบเสมาอายุกว่าพันปีที่สะท้อนวัฒนธรรมยุคทวารวดี และยังมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจอันเกิดจากการกัดกร่อนของหินทราย ทำให้เกิดเป็นหลุมเป็นหลืบกลายเป็นมรดกทางธรรมชาติที่มีอัตลักษณ์เพียงแห่งเดียวในไทย อย่างหินดอกเห็ดที่ถูกทำเป็นห้อง จนเป็นที่มาของคำว่า หอนางอุสา ต้นเหตุของเรื่องเล่าในหมู่ชาวลาวอีสานที่เกิดจากการจินตนาการในภายหลัง
ธรณีวิทยาภูพระบาทอยู่ในหมวดหินภูพาน เป็นหินทรายในมหายุคมีโซโซอิก หรือมหายุคที่สองจากทั้งหมดสามมหายุคทางธรณีกาลของโลก สัณฐานทางธรณีวิทยาเหล่านี้พบได้อีกที่ภูผาเทิบ จ.มุกดาหาร ผาแต้ม เสาเฉลียง จ.อุบลราชธานี และอีกหลายแห่งใน จ.ชัยภูมิ
ทั้งสามภูต่างมีความโดดเด่น สวยงามต่างเวลา และให้ประสบการณ์ที่ต่างกัน นักท่องเที่ยวสามารถเช็กอินทั้งหมดได้ใน 1 วัน ตั้งแต่รุ่งสางจนบ่ายคล้อย เปิดประสบการณ์ “วันเดียวเที่ยว 3 ภู” แบบเหนือระดับน้ำทะเล นักท่องเที่ยวสอบถามการเดินทางเชื่อมโยงของทั้งหมดนี้ได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุดรธานี โทร. 042-325-406-7


