posttoday

เป็นคำถามธรรมดาที่ควรตอบ!!ว่า‘สวดมนต์แล้วได้อะไร’ (จบ)

26 กรกฎาคม 2553

ปุจฉา : เด็กๆ หรืออาจจะมีผู้ใหญ่หลายท่านยังมีข้อสงสัยว่า สวดมนต์ได้อะไร ซึ่งพิจารณาดูเป็นคำถามที่ไม่น่าจะถามสำหรับชาวพุทธ แต่สังคมปัจจุบันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ควรที่จะหาคำตอบที่ง่ายๆ เข้าใจได้ถึงประโยชน์ของการสวดมนต์ มาบอกกล่าวเล่าเรื่องให้ผู้ถามได้เข้าใจในประโยชน์ของการสวดมนต์ จึงใคร่ขอพระอาจารย์ช่วยกรุณาแนะแนวการตอบในเรื่องดังกล่าว...

ปุจฉา : เด็กๆ หรืออาจจะมีผู้ใหญ่หลายท่านยังมีข้อสงสัยว่า สวดมนต์ได้อะไร ซึ่งพิจารณาดูเป็นคำถามที่ไม่น่าจะถามสำหรับชาวพุทธ แต่สังคมปัจจุบันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ควรที่จะหาคำตอบที่ง่ายๆ เข้าใจได้ถึงประโยชน์ของการสวดมนต์ มาบอกกล่าวเล่าเรื่องให้ผู้ถามได้เข้าใจในประโยชน์ของการสวดมนต์ จึงใคร่ขอพระอาจารย์ช่วยกรุณาแนะแนวการตอบในเรื่องดังกล่าว...

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

วิสัชนา : กลับมาสู่คำถาม เรื่องธรรมดาที่ต้องวิสัชนาจากปุจฉาที่ว่า “การสวดมนต์ได้อะไร” ก็คงจะตอบแบบธรรมดาๆ เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ซึ่งวัตรปฏิบัติ ๑ ใน ๑๐ ข้อ ของพระสงฆ์ หรือสาธุชนทั้งหลายว่า “การสวดมนต์แท้จริงนั้น เป็นกระบวนการศึกษาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ สู่จุดมุ่งหมายพัฒนายกระดับจิต และเพิ่มพูนสติปัญญา” การสวดมนต์จึงเป็นลักษณะของการท่องบ่นจดจำ เพื่อนำไปสู่การศึกษาให้เข้าใจในความหมายธรรม เพื่อจะได้น้อมนำมาเป็นแนววิธีประพฤติปฏิบัติตน จึงให้เพิ่มกำลังศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นว่า เป็นศาสตร์อันสูงสุดที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อพระนิพพาน ที่สามารถปฏิบัติได้จริงในพระสัทธรรมที่ปรากฏอยู่ในบทสวดนั้นๆ และด้วยพลังแห่งศรัทธา จึงสร้างสรรค์ให้จิตใจมีอำนาจธรรมคุ้มครองรักษา ขับเคลื่อนวิถีจิตไปสู่การดำริ พากเพียรชอบ อย่างมีความรู้ชอบ ซึ่งสามารถยกระดับจิตสู่ความตั้งมั่นชอบ ที่เรียกว่า มีสมาธิ จนสามารถผลิปัญญาให้เกิดขึ้นได้ เมื่อรู้จักพิจารณาด้วยกำลังจิตที่มีสติบริสุทธิ์อยู่ในขณะนั้น

การสวดมนต์ จึงเป็นวิธีการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การฝึกฝนจิตให้มีสติปัญญา ด้วยอำนาจจิตที่มีธรรม ซึ่งเกิดจากความรู้ ความเข้าใจในบทสวด จึงเพิ่มพูนกำลังศรัทธาให้มีศักยภาพมากขึ้น จนสามารถแปรรูปให้เป็นพลานุภาพแห่งจิต อันนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ตามจิตอธิษฐาน บนพื้นฐานอ้างอิงคุณความจริงที่มีอยู่ ทั้งความเคารพสักการะในองค์คุณพระรัตนตรัย องค์คุณของศีล และองค์คุณของธรรม อันได้แก่ ความเมตตากรุณา ในเนื้อจิต ที่เกิดขึ้นโดยธรรม จึงกลายเป็นพลังธรรมที่ขับเคลื่อนความดำริแห่งจิต ให้ไปสู่ความสัมฤทธิ์ตามความปรารถนาด้วยการ กระทำของตน อันเป็นไปตามหลักพึ่งตนพึ่งธรรมในพระพุทธศาสนา การสวดมนต์ จึงไม่ใช่การวิงวอน เรียกร้อง เรียกหา อำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาช่วยเหลือ หรือไม่ได้เรียกร้องอำนาจภายนอกมาคุ้มครองดูแล

โดยขาดการกระทำตามหลักพึ่งตน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องความเชื่อนอกเขตพระพุทธศาสนา เช่น ศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์ ฯลฯ ซึ่งมีจุดประสงค์หรือความต้องการที่แตกต่างกันกับพระพุทธศาสนา ที่ให้ความสำคัญของการเรียนรู้ ศึกษาให้เข้าใจ เพื่อนำไปปฏิบัติ โดยอ้างอิงพลังศรัทธาที่จะนำพาไปสู่ความเพียรอันถูกควร รองรับด้วยฉันทะหรือความพึงใจในกิจอันควรทำนั้น เพื่อจะได้กระทำอย่างชอบควร และรู้จักใคร่ครวญในการกระทำและผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะต้องตรงตามธรรม อันได้แก่ เป็นไปเพื่อความปกติในความเข้าใจความจริงที่ปรากฏมีอยู่ในธรรมชาติว่า “สรรพสิ่งทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเช่นนี้เอง ไม่เปลี่ยนไปจากนี้ และไม่แปรเป็นอย่างอื่น...”

หัวใจสำคัญในกระบวนการสวดมนต์ จึงต้องมีการสาธยายหรืออรรถาธิบายธรรม ให้รู้เข้าใจในความหมายและความสำคัญ เพื่อประโยชน์แห่งความรู้ในหลักธรรม อันจะย้อนกลับไปเสริมสร้างฉันทะและศรัทธาให้มากยิ่งขึ้น เพื่อการขับเคลื่อนจิตไปบนมรรคญาณ สู่ความรู้แจ้งในความเป็นจริงของสรรพธรรมทั้งหลาย เพื่อการคลายออกจากความยึดติดในสรรพสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏมีอยู่ในโลกแห่งนี้ โดยเฉพาะการคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง อันเป็นตัวทุกข์รวบยอด ที่ต้องละการยึดถือ เพื่อการเข้าถึงความดับทุกข์

การสวดมนต์ จึงเป็นกระบวนการศึกษาที่สำคัญในพระพุทธศาสนาตามที่กล่าว ที่สำคัญของบทสวดมนต์นั้น อีกประการหนึ่งคือ ความเป็นสัญลักษณ์ของชาวพุทธ ที่ต้องเปล่งเสียงสวดมนต์เพื่อประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธ โดยเฉพาะ การสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย ด้วยความเคารพบูชาและศรัทธายิ่ง

การสวดมนต์ในเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาตามที่กล่าว นอกเหนือจากการประกาศสามัญลักษณ์ของความเป็นชาวพุทธแล้วนั้น ยังเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ความคุ้นเคยกับหลักพระธรรมคำสั่งสอน จนนำไปสู่การศึกษาปฏิบัติ เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาพร้อม ตามวาสนาบารมี

การสวดมนต์ จึงเป็นอุดมมงคลแห่งชีวิตของชาวพุทธ ที่สามารถกระทำได้ด้วยตนเองอย่างไม่ยาก ด้วยดวงจิตที่มีศรัทธาจึงเกิดพลังธรรมขับเคลื่อนแผ่กว้างออกไป สู่การสร้างสัมพันธภาพกับสภาวธรรมภายนอก ให้เยือกเย็นและสุขสงบได้ และหากหลอมรวมดวงจิตจากหลายร้อยดวง หลายพันดวง ที่ขับเคลื่อนพลังธรรมออกมา ด้วยเสียงธรรมที่เปล่งสวดจากจิต ก็ลองนึกคิดดูว่า คุณประโยชน์ที่จะเกิดกับโลกนี้มากขนาดไหน โดยเฉพาะพลังที่สร้างสรรค์สัมพันธภาพเพื่อความสุขของโลก หากยังไม่เข้าใจก็ให้ลองจุดเทียนขึ้นมาในเบื้องต้น ๑ เล่มก่อน ปักไว้ในห้องมืดๆ และค่อยๆ จุดเพิ่มขึ้นทีละเล่มๆ โดยนำมาปักไว้รวมกัน เราจะเห็นการสานสัมพันธ์รวมกันของแสง ที่ขยายความสว่างให้มากขึ้น จนสว่างไสวไปทั้งห้อง เช่นเดียวกัน เสียงสวดมนต์ก็เหมือนประกายแสงแห่งความสว่างที่ส่องมาจากจิตที่มีศรัทธาธรรม เมื่อขับเคลื่อนพลังออกมา ด้วยการสวดขับขานจากจิตที่ตั้งมั่น มีสติปัญญาพรั่งพร้อม รู้เข้าใจในคุณประโยชน์แห่งธรรมภายนอก ให้ได้รับผลได้เช่นเดียวกันกับแสงสว่างจากเทียน จึงกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า

“การสวดมนต์นั้น เป็นการสักการบูชาองค์คุณแห่งพระรัตนตรัย และสามารถอัญเชิญพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ออกมาอภิบาล ปกปักรักษาโลก หรืออนุเคราะห์โลกได้ ยังให้เกิดความสงบสุขด้วยอำนาจธรรม ประการสำคัญ ตัวผู้สาธยายนั้นย่อมได้รับอานิสงส์แห่งการกระทำอันชอบ อย่างเต็มกำลังตามภูมิจิตภูมิธรรมแห่งตน”

ขอเจริญพร

ข่าวล่าสุด

สธ. ปั้นนโยบายขึ้นทะเบียนยา ATMPs ‘เร็วที่สุดในอาเซียน’ ดัน 'Medical Economy'