นักบริหารหนุ่มบริษัทพัฒนาออกแบบและผลิตรถถังโดยคนไทย กฤต กุลหิรัญ
แถมไม่ใช่รถถังธรรมดา แต่เป็นรถถังรุ่น “เฟิร์สวิน ซีรี่ส์ 5” ที่พัฒนาออกแบบและผลิตโดยคนไทย และเป็นที่ยอมรับว่ามีสมรรถนะดีเยี่ยม
โดย...วราภรณ์ ภาพ : ภัทรชัย ปรีชาพานิช
แถมไม่ใช่รถถังธรรมดา แต่เป็นรถถังรุ่น “เฟิร์สวิน ซีรี่ส์ 5” ที่พัฒนาออกแบบและผลิตโดยคนไทย และเป็นที่ยอมรับว่ามีสมรรถนะดีเยี่ยม จนกองทัพบกมาเลเซียสั่งซื้อไปใช้ในภารกิจของกองทัพแล้ว นี่คือผลงานอันน่าภาคภูมิใจของบริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ ที่ กฤต กุลหิรัญ วัย 31 ปี ทายาทรุ่นที่ 2 ของหิรัญ กุลหิรัญ เข้าไปนั่งบริหารงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ เห็นไหมว่าหนุ่มโสดในฝันฉบับนี้คุณภาพไม่ธรรมดา เพราะชัยเสรีคือบริษัทผลิตรถเกราะเจ้าแรกและเจ้าเดียวของประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 47 ปีแล้ว ด้านการศึกษาเขาจบปริญญาตรีคณะสังคมศาสตร์ เอกรัฐศาสตร์ จาก มศว ประสานมิตร และปริญญาโท MBA Double concentration Leadership Management and Marketing จาก University of La Verne ประเทศสหรัฐอเมริกา
“ผมเข้ามาช่วยคุณพ่อบริหารงานได้ 6 ปีแล้วครับ หน้าที่ของผมคือเป็นผู้ช่วยคุณพ่อ หลักๆ ทำงานดูแทบทั้งหมดทั้งดูด้านโปรดักชั่น การตลาด และงานบริหาร ตอนนี้เราเริ่มทำรถเกราะล้อยางเฟิร์สวิน 4 คูณ 4 ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยผมดูตั้งแต่การออกแบบ ซึ่งเราพัฒนามาเรื่อยๆ จากเริ่มแรกเราทำรถเกราะ 6 ล้อ เมื่อหลายปีก่อน เราจึงพัฒนาออกแบบให้ใช้ล้อจำนวนน้อยลง เพื่อความคล่องตัว ซึ่งพี่ชายของผมจบด้านวิศวกรก็มาช่วยคุณพ่อก่อนผม 2 ปี เราก็ช่วยกันพัฒนามาเรื่อยๆ จนตอนนี้ค่อนข้างเสร็จสมบูรณ์เป็นที่น่าพอใจแล้วครับ”
เมื่อทายาทรุ่นที่ 2 ช่วยเข้ามาดูแลธุรกิจสไตล์การทำงานของเลือดใหม่คือ เพิ่มการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ที่ใช้ด้านการออกแบบ ลงทุนด้านคอมพิวเตอร์คอนโทรลนำเทคโนโลยี 3 ดีเข้ามาช่วยในการออกแบบ ทำให้เห็นภาพชัดเจนมีมิติมากขึ้น
“จากรถเกราะคันแรกที่เราออกแบบและผลิตโดยทีมงานคนไทยเอง เราปรับด้านการออกแบบอีก 4 คัน แบบที่ 5 เริ่มวางจำหน่าย ซึ่งเราใช้เวลาในการพัฒนา 5 ปีเต็ม โดยมีลูกค้ากองทัพบกของมาเลเซียสั่งซื้อรถเฟิร์สวินไปใช้ในประเทศของเขา โดยเราปรับให้ตรงตามความต้องการของเขาได้”
47 ปี ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์รับเบอร์ บริษัทของคนไทยที่เริ่มแรกดำเนินธุรกิจด้านทำลูกหมากรถบันทึก จากนั้นได้ทำการค้าขายกับทางทหาร และรับจ้างผลิตข้อต่อสายพานรถถังให้บริษัทรถถังสัญชาติอเมริกันยักษ์ใหญ่ของโลก
“โอกาสที่เราได้เข้าไปทำงานร่วมกับบริษัทรถถังของอเมริกาเพราะเหมือนรัฐบาลไทยซื้อรถถังแต่ต้องมีชิ้นส่วนบางอย่างที่เป็นสินค้าโลเคิล ซึ่งเราผลิตให้ เช่น ข้อต่อสายพานจากนั้นคุณพ่อขยายมาทำโรงงานสร้างยานยนต์ทางทหาร เช่นรถจิ๊ป รุ่น 151 รถบันทึกทหารขนาดสองตันครึ่ง ห้าตัน ต่อมาเราพัฒนาทำรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและได้ซ่อมรถถัง เช่นที 85 ที่ใช้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว นอกจากนี้เรายังผลิตรถถังสะเทินน้ำสะเทินบก เคยทำชุดเกราะติดให้รถ Hmmwe ของอเมริกา ที่แต่เดิมไม่สามารถป้องกันระเบิดได้ แล้วเราพัฒนาติดแผ่นวีเชฟใต้รถต้องไม่แตกเวลาโดนระเบิด แต่ต้องพัฒนาอยู่ถึง 5 ปี ในการพัฒนาโปรดักต์กลายเป็นรถถังเฟิร์สวิน รุ่นที่ 5 ที่มีสมรรถนะดีเยี่ยมคือรถมีน้ำหนัก 11 ตัน โดนระเบิดไม่ลอย อัตราเร่งดี ได้มาตรฐานนาโต้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภูมิใจถือเป็นฝีมือคนไทยพัฒนาล้วนๆ ครับ ส่วนใหญ่ลูกค้าของบริษัทผมอย่างรถถังเฟิร์สวินลูกค้าหลักคือกองทัพมาเลเซีย แต่ละสินค้าที่เราผลิตเราเน้นต้องขายได้ทั้งภายในและส่งออกด้วย อย่างสายพานรถถังส่งออกไป 38 ประเทศ เช่น จีน เยอรมนีเดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน โปแลนด์ มาเลเซีย อาร์เจนตินา โคลัมเบีย อเมริกา ฯลฯ ซึ่งภารกิจต่อไปของผมคือพัฒนารถถังเฟิร์สวินให้จำหน่ายไปยังตะวันออกกลางได้ด้วย” และสิ่งที่เขาภูมิใจอีกข้อในฐานะบริษัทของคนไทยก็คือ สามารถพัฒนาล้อรถถังไปอีกขั้นคือ การออกแบบยางรุ่น RunFalt ลักษณะเป็นยางตันอยู่ในล้อยางอีกที แม้ยางข้างนอกจะถูกยิงแตกก็ไม่เป็นไร รถก็ยังวิ่งได้อยู่ เช่นเดียวกับรถยนต์ยี่ห้อหรูเช่น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยูที่ใช้เทคโนโลยีนี้
ย้อนกลับไปเมื่อวัยเด็ก แม้กฤตจะเติบโตเป็นผู้บริหารหนุ่มแล้ว แต่ก็ย่อมเคยผ่านชีวิตวัยเด็กมาก่อน ซึ่งในวัยเด็กๆ เขาเล่าแบบขำๆ ว่าก็มีเพื่อนๆ ล้อว่า รถถัง บ้าง แต่เขารู้สึกเฉยๆ และไม่รู้สึกแปลก เพราะเพื่อนๆ ของเขาก็รู้จักธุรกิจของที่บ้านเขาอยู่แล้ว กฤตเล่าความผูกพันระหว่างเขากับธุรกิจแมนๆ ของที่บ้านว่า แม้เด็กๆ บ้านจะอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งโรงงานอยู่ต่างจังหวัด แต่เขาได้เข้ามา
คลุกคลีจริงๆ จังๆ ตอนเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้เข้ามาช่วยคุณพ่อดูแลงานบ่อยๆ ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นคุณพ่อมาตลอดคือ ความขยัน เอาใจใส่งานในงานและลงลึกในรายละเอียด
“พ่อสอนว่าทำอะไรต้องรู้จริง รู้ให้ลึก และแก้ปัญหาให้ได้” แม้คุณพ่อคุณแม่ของเขาไม่เคยบังคับให้ลูกๆ เลือกเรียนด้านวิศวะและต้องกลับมาบริหารธุริกิจต่อ แต่ด้วยความรักในธุรกิจของครอบครัวเขากลับมาช่วยงานที่บ้านทันทีหลังจากเรียนจบ และนำความรู้ด้านบริหารธุรกิจมาช่วยบริหารงานได้เต็มที่ และรู้ความต้องการของลูกค้า แต่การทำงานกับนักบริหารรุ่นคุณพ่อก็ถือเป็นงานที่ท้าทาย เพราะด้วยความคิดของคนต่างวัยก็อาจมีโมเมนต์ที่เข้าใจไม่ตรงกันบ้าง เช่น การเลือกใช้งานดีไซน์ แต่ก็โชคดีที่มีนางฟ้าในบ้าน ก็คือคุณแม่คอยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้การทำงานราบรื่น
“คุณแม่จะบอกผมเสมอว่าบางทีการคุยกันกับคนในครอบครัวไม่ต้องใช้เหตุผลมากก็ได้ คุณพ่อสั่งสอนอะไรเพราะท่านหวังดีให้ทำตามคุณพ่อไปก่อน ซึ่งผมก็เชื่อฟัง”
ปัจจุบันจำนวนลูกน้องมีมากถึง 300 คน อีกปัญหาหนึ่งที่นักบริหารอย่างกฤตต้องประสบก็คือปัญหาด้านแรงงานที่ขาดแคลนแรงงานคนไทยอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งบริษัทตั้งอยู่ ณ จ.ปทุมธานี ซึ่งแรงงานชายไทยอยู่ในเรือนจำเสียเยอะ แม้เขาจะยินดีจ่ายค่าแรงงานมากกว่ามาตรฐานกำหนดมากถึง 20% แต่ก็หาแรงงานไทยได้ยากเหลือเกิน แต่ก็โชคดีที่ยังมีแรงงานต่างชาติ เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา มาช่วยเสริม ซึ่งแม้มีความขยันอดทน เรียนรู้เร็วแต่ก็มีปัญหาด้านการสื่อสารอยู่ดี
“จริงๆ การทำงานของผมจะว่าเครียดก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมมีวิธีคลายเครียดคือ ออกกำลังกาย เช่น ตีเทนนิส ว่ายน้ำ เข้าฟิตเนส เล่นกับสัตว์เลี้ยงคือแมวจรแถวๆ โรงงานที่เกิดอุบัติเหตุที่ผมทำเขาบาดเจ็บก็เลยนำเขาไปโรงพยาบาลและนำกลับมาเลี้ยงดูแลจนตอนนี้เขากลายเป็นเพื่อนเล่นที่น่ารักมากๆ โดยผมตั้งชื่อให้ว่าฮัมวี่” อีกกิจกรรมหนึ่งที่ถือว่าช่วยคลายเครียดกับนักบริหารหนุ่มอย่างกฤตก็คือ การไปวัดพระเชตุพนฯ ซึ่งเขาบวชเรียนที่วัดนี้
“ผมบวชที่วัดนี้เวลาผมรู้สึกเครียดๆ ขอบไปหาหลวงพี่ ท่านมีหลักธรรมสอนผมดีๆ ทุกครั้งคือ ท่านจะอธิบายว่า แม้ความเห็นไม่ตรงกัน ท่านแนะนำว่า เรื่องวินัย และให้คิดดีทำดีอยู่เสมอๆ จะช่วยให้ปัญหาคลี่คลายไปได้ ทำให้ผมกลับบ้านมาด้วยความสบายใจ ซึ่งหลักธรรมที่ท่านสอนเราก็ได้เรียนรู้มาแล้ว แต่บางครั้งเราอาจลืมหรือไม่สนใจ เวลาได้เจอท่านก็เตือนความจำ นำหลักธรรมมาใช้และนั่งสมาธิบ้างครับ”
เห็นหล่อๆ แบบนี้ไม่ถามเรื่องสเปกสาวคงไม่ได้ กฤต เผยว่า เมื่ออายุเริ่มเข้าเลข 3 มุมมองด้านความรักก็เปลี่ยนไป
“เมื่อก่อนแฟนเราต้องสวย น่ารัก ดูดีเพอร์เฟกต์หลังๆ จากประสบการณ์ คนที่เราอยากได้เป็นคู่คิดคืออยากได้แบบเพื่อนที่เข้าใจเรา ซัพพอร์ตเรา ช่วยดึงและให้เรามีสติในเวลาที่เราไม่ดี เช่น เวลาโกรธก็ช่วยดึงเราได้ และต้องเป็นผู้หญิงมีเหตุผลช่วงนี้ผมจึงไม่ค่อยมีสเปกเรื่องหุ่น แต่เน้นที่นิสัยใจคอคุยกันรู้เรื่อง จิตใจดีและเข้าใจกันมากกว่าครับ และไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลานนักธุรกิจ ถ้าหุ่นดีก็ถือเป็นความโชคดีไปครับ ซึ่งเรื่องศัลยกรรมความงามผมมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา หากผู้หญิงทำแล้วเขารู้สึกมีความสุขก็ทำไป ทำแล้วดีก็ทำครับ ผมไม่จำกัดครับ”
สุดท้ายในฐานะนักบริหารรุ่นใหม่ เขาตั้งเป้าหมายในอนาคตสำหรับธุรกิจของเขาว่ามี 2 อย่างที่อยากทำคือ ในระยะยาวอยากเป็นบริษัทผลิตรถเกราะตามความต้องการของลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งบริษัทของเขาทำได้แล้ว ส่วนในโอกาสระยะสั้นอยากเป็นผู้ผลิตรถเกราะให้กองทัพบกไทย ตามความต้องการของผู้ใช้ เพราะเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปกป้องชีวิตของทหารที่เขาปกป้องประเทศเรา โดยเฉพาะทหารทางภาคใต้
“เป้าหมายระยะยาวเราอยากมีโอกาสทำรถเกราะที่ช่วยกันพัฒนาและใช้ในกลุ่มเออีซีของเรา เราอยากทำรถเกราะที่มีแพตฟอร์มสำหรับประเทศในกลุ่มเออีซี ซึ่งในต่างประเทศอย่างอินโดนีเซีย สิงคโปร์เขาก็มีบริษัทผลิตรถเกราะอยู่แล้ว และรัฐบาลของประเทศเขาก็ซัพพอร์ตเต็มที่ ซึ่งผมอยากคุยกับเพื่อนบ้านและอยากให้รัฐบาลไทยช่วยคุย เพื่อให้บริษัทคนไทยได้ร่วมมือกับบางประเทศที่เขามีระบบทำอาวุธมาร่วมทำรถเกราะในภูมิภาคเราครับ ซึ่งหากในยามวิกฤตหากเรามีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง เราสามารถส่งอุปกรณ์ทางทหารได้ เพราะหากเรานิยมใช้แต่ของนอกเราก็จะไม่ได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมในบ้านเราเอง”


