‘นุ วุฒิวิชัย’ ครูศิลปากร ของนักดนตรีแจ๊ซมืออาชีพ
ตั้งแต่เริ่มสอนดนตรี ผมพยายามหาพื้นที่ที่เป็นเหมือนโรงเรียนสำหรับเป็นภาคปฏิบัติจริง เคยตระเวนไปทุกที่ทั่วประเทศ
โดย...ธเนศน์ นุ่นมัน
“ตั้งแต่เริ่มสอนดนตรี ผมพยายามหาพื้นที่ที่เป็นเหมือนโรงเรียนสำหรับเป็นภาคปฏิบัติจริง เคยตระเวนไปทุกที่ทั่วประเทศ เมื่อมีเทศกาลดนตรีหรือโอกาสสำคัญ ขนขบวนคาราวานเหมารถทัวร์ออกไปหาประสบการณ์ นำเสียงดนตรีแจ๊ซออกไปหาคนฟัง จะฟังรู้เรื่องหรือไม่อย่าเพิ่งไปคิดถึงตรงนั้นแต่ละปีโอกาสแบบนั้นๆ หาไม่ง่ายนัก ขณะที่การเรียนดนตรีหรือศิลปะอื่นๆ นั้นไม่มีปิดเทอม จะเล่นให้ได้ดี ต้องเรียนรู้ ต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง ก็เลยคิดกับภรรยาว่า ควรหาพื้นที่สักแห่งเปิดร้านแสดงสดให้เด็กมาเล่น”
นุ วุฒิวิชัย หรืออาจารย์นุ ของนักดนตรีแจ๊ซรุ่นใหม่ อดีตรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิดการสร้างพื้นที่ให้บรรดานักศึกษาและผู้มีดนตรีแจ๊ซในหัวใจได้ดื่มด่ำ สัมผัสบรรยากาศ การแสดงสดอย่างใกล้ชิด สร้างโอกาสและพัฒนาทักษะให้นักดนตรีรุ่นใหม่
พื้นที่ของนักเล่นเวิลด์คลาส
เป็นไปได้หรือ? ที่พื้นที่เล็กๆ ขนาดไม่กี่ตารางเมตรของ“ร้านแจ๊ซแฮพเพน” จะเป็นแหล่งผลิตนักดนตรีตามที่อาจารย์นุบอกว่า ไม่ได้ตั้งเป้าไว้แต่จุดเล็กๆ แต่ต้องมีฝีมือในเวิลด์คลาสหรือระดับโลกมีฝีมือทัดเทียมมืออาชีพระดับสากล ทำให้พวกเขาเป็นตัวเลือกตัวจริงของทุกเวที
“นักดนตรีของเราต้องไม่ใช่แค่เล่นสนุกๆ เรียนเล่นๆ ไม่จริงจัง แต่ต้องค่อยๆ พัฒนาตัวเองให้ได้แบบมืออาชีพ มีฝีมือและประสบการณ์มากพอที่จะเดินไปแจมกับใครที่ไหนในมุมโลกก็ได้ แต่การสร้างนักดนตรีแบบนั้นขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เราเริ่มจากจุดเล็กๆ ใครอยากมาก็มาก่อน เรียนดนตรีในมหา’ลัยที่ไหนก็ได้ มาออดิชั่นหรือมาลองคัดตัวการแสดงดู กำลังเรียนปีหนึ่งปี สองก็มาได้เลย มาโดนโขกสับกันตรงนี้ เรียนดนตรีระดับปริญญาตรีสี่ปีก็หนักอยู่แล้ว แต่ไม่พอต้องมาเพิ่มจากที่นี่อีก ใครคิดแบบนี้ ต้องมาหาเราและต้องเอาจริง
เราสร้างพื้นที่ให้เขานำสิ่งที่เรียน มาใช้ปฏิบัติจริง และเติมสิ่งที่ขาดหรือชั้นเรียนให้ไม่ได้ให้กับพวกเขา ให้เลือกเพลงนอกเหนือบทเรียน มาซ้อมเล่น ซ้อมต่อเพลง ผมต้องคอยแนะนำ คอยดูว่าเพลงที่พวกเขาเลือกเล่น เล่นแล้วจะไปรอดหรือไม่ ตรึงคนฟังได้มั้ย บางโอกาสก็สอนทฤษฎีให้เขาทบทวน มีการดุด่าบ้าง บางครั้งก็โหด อย่างกับหรือโหดกว่าแบบในหนังเรื่อง Whiplash เสียอีก”
อาจารย์นุกำลังหมายถึงภาพการฝึกนักดนตรีที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด ในหนังเรื่องหนึ่งที่เล่าเรื่องราวของแอนดรูว์ มือกลองหนุ่มนักศึกษาดนตรี ที่ต้องการเป็นมือกลองระดับโลกที่ต้องเรียน ต้องฝึกกับเทอเรนซ์ เฟลชเชอร์ครูสอนดนตรีที่มีวิธีการสอนที่เข้มงวดหนักหน่วง ผู้ที่มีความอดทนอดกลั้นไม่ย่อท้อต่อเป้าหมายเท่านั้นที่ยังยอมอดทนต่อการสอนของเฟลชเชอร์
อาจารย์นุ อธิบายว่า ที่ต้องสอนกันอย่างหนักหน่วงเป็นเรื่องที่ต้องบอกเด็กๆ ว่าเรากำลังอยู่ในอาชีพที่มีการแข่งขันสูงในวงการที่เริ่มเล็กลงๆ แม้จะมีกลุ่มผู้ฟังดนตรีแนวนี้อย่างเหนียวแน่น แต่ทั่วโลกยังถือว่าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจำกัด การคัดกรองมืออาชีพด้านนี้ จึงเข้มข้นและไม่ประนีประนอมต่อผู้ที่ตัดสินใจเดินทางนี้นัก
“ผมบอกเด็กๆ ว่า อย่ามองแค่ในประเทศเรา ต้องมองทั้งโลกทั้งใบ ถ้าต้องออกไปเล่นที่อื่นๆ หรือมีนักดนตรีต่างประเทศที่เก่งๆ มาแจมแล้วตัวเราจะเล่นกับพวกเขาได้ดีแค่ไหนดีแบบมีอนาคต แต่ถ้าคิดแค่ว่าฝึกให้พอมีงานทำ ไปเล่นโชว์ตามที่ต่างๆ อย่างนักดนตรีที่พบเห็นได้ทั่วไป เล่นดนตรีแค่เป็นเรื่องการทำมาหากินก็ไม่ต้องฝึกกันเข้มข้น ก็คงเอาตัวรอดได้ไม่ยากแต่มาที่นี่ต้องถามกันก่อนว่า ตัดสินใจแล้วนะ เอาจริงนะ ไม่ใช่มาแบบเป็นลูกคุณหนู บุพการีไม่เคยด่า ว่าอะไรไม่ได้เลยขาดความอดทน ก็ยากที่จะผ่านจากที่นี่ไปได้ เด็กจากที่นี่ออกไปสู่วงการดนตรีเยอะ พวกเขาออกไปเล่นกับวงมาตรฐานทั่วโลกได้สบายมาก”
เบ้าหลอมมืออาชีพ
อาจารย์นุของบรรดานักดนตรีแจ๊ซหลากรุ่นเป็นใคร? ทำไมอาจารย์สอนดนตรีถึงเป็นเสมือนตรายางประทับรับรองความสามารถ ชั้นเชิงมืออาชีพทางดนตรีได้เพียงนั้น แต่เมื่อดูจากประวัติของอาจารย์ก็ย่อมแน่ใจว่าไม่มีใครเคลือบแคลงในความสามารถ
ประสบการณ์ด้านดนตรีที่เริ่มเรียนเปียโนมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ที่โรงเรียนดนตรีสยามกลการเป็นแชมป์อิเล็กโทนระดับประเทศติดต่อกัน 3 สมัย เดินทางไปเรียนต่อที่ Cornish College of the Arts รัฐซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เคยแจมกับนักดนตรีชั้นนำในเมืองไทยตั้งแต่ก่อนจะไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกามามากมาย และในขณะที่เรียนเคยแจมกับนักดนตรีชั้นนำในซีแอตเทิลหลายครั้ง กระทั่งเคยร่วมแสดงคอนเสิร์ตกับ Michael Paulo นักแซ็กโซโฟนระดับ ท็อปเทนของโลก รวมถึงเล่นคอนเสิร์ตร่วมกับวงชั้นนำที่งาน Monterey Blues Festival เทศกาลที่ได้ชื่อว่ามีชาวเอเชียจำนวนเพียงนับนิ้วได้ ที่ผ่านด่านเข้าไปโชว์ฝีมือในเทศกาลนี้ได้
หลังจากเรียนจบก็มาเป็นอาจารย์คณะดุริยางคศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ก้าวขึ้นเป็นรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและหัวหน้าสาขาดนตรีแจ๊ซ เคยริเริ่มโครงการ “แจ๊ซ เหอะ”Campus Tour ตั้งแต่ปี 2545 เพื่อพานักศึกษาที่มีฝีมือโดดเด่นออกแสดงดนตรีตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมทั้งนำวงดนตรีที่ร่วมก่อตั้งกับเพื่อนพ้องคณาจารย์ ที่ชื่อ“แม้นศรี” ตระเวนไปกับทัวร์ดังกล่าวด้วย
ยังไม่นับรวมถึงโครงการอื่นๆ อย่าง No Ego Jazz Camp แคมป์ดนตรีแจ๊ซสำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจ โครงการ Thailand Jazz Competition Roadshow @ Starbucks Coffee การเปิดมุมมองใหม่ให้คนได้ฟังดนตรีแจ๊ซ โดยการชวนผู้ที่สนใจร่วมจิบกาแฟฟังแจ๊ซ ที่ร้าน Starbucks สาขาต่างๆ และโครงการ Jazz in USA การสนับสนุนให้นักศึกษาที่มีความสามารถได้มีโอกาสไปแสดงดนตรีในเทศกาล UNC/Greeley Jazz Festival ที่รัฐโคโรลาโด แหล่งกำเนิดของดนตรีแนวนี้ผลักดันให้นักศึกษาเข้าไปประลองฝีมือในโครงการ Thailand Jazz Competition ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี 2548
หลังจากตัดสินใจทำร้านแจ๊ซแฮพเพนก็ยังใช้พื้นที่นี้ จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ทำเวิร์กช็อปผสมผสานดนตรีแจ็ซกับดนตรีแนวอื่นๆ เช่น ลูกทุ่งและร็อกมีค่ายเพลงของตัวเอง JazZ Happens! everywhere ซึ่งมีซิงเกิ้ลดังอย่าง มนตร์การเมือง และนิราศเมืองกรุง MV จากวงสิงห์คะนองนา
ส่งไม้ต่อบนเวทีของตัวจริง
“แวดวงแจ๊สในประเทศนี้ รู้จักเราเป็นอย่างดี มีมิตรรักแวดวงแจ๊ซที่มีความหลากหลายแวะเวียนมาเยี่ยมเรามากมาย แนวทางแจ๊ซที่เราเลือกมาให้เด็กฝึกฝน ก็ไม่ได้หนักหนาจนเข้าถึงยาก ตั้งแต่แจ๊ซมาตรฐานที่ฟังง่าย เป็นเพลงร้องมีน้องๆ ที่เรียนด้านการร้องมาร่วมหาตัวเชื่อมอื่นๆ เช่นมีเพลงไทย เพลงเก่า ที่เรานำมาตีความ เล่นผสมผสานเป็นแจ๊ซใครอยากเล่นหนักๆ ก็ต้องปล่อยให้ทำในสิ่งที่ท้าทายความสามารถมากขึ้นๆ หาส่วนผสมที่ลงตัวในแต่ละวงให้ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกโจทย์ที่เป็นเพลงใช้เล่นยากแค่ไหน เราก็จะบอกให้เขาคิดหาวิธีนำเสนอหรือสื่อไปถึงผู้ฟังได้ ให้ประทับใจผู้ฟัง
ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งก็ต้องบอกพวกเขา เล่าถึงประสบการณ์จากที่ได้ไปเรียนในต่างประเทศให้เขาฟัง ในมหาวิทยาลัยที่โน่น เรียนกันอย่างบ้าเลือด ทุกคนอยากเป็นคนเก่ง เล่นกันแบบไม่หยุด เรียนกันแบบถวายชีวิตเพราะรู้ว่าการแข่งขันในโลกที่เขาต้องเผชิญนั้น ไม่มีการอ่อนข้อกันเรื่องนี้เลยเด็กบ้านเราที่ขยันขนาดนั้นก็มีไม่น้อย แต่จุดอ่อนของเด็กที่รักดนตรีมากๆ คือพวกเขาจะฝึกหนักจริงจังมาก โดยไม่ค่อยเรียนรู้ที่จะมีโอกาสโปรโมทตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ เลย บางครั้งผมก็ต้องคอยเตือนว่าให้ทำตรงนี้กันบ้าง เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว แต่ยังไม่ค่อยทำกัน”
เมื่อฝันสะดุด
เป็นเรื่องปกติที่นักดนตรีต้องเผชิญหน้ากับโลกความเป็นจริงที่ว่า เส้นทางสายอาชีพนี้นอกจากจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว ปลายทางยังทอดไปสู่สายหมอกที่บางครั้งก็มองไม่เห็นอนาคตอีกด้วย นักร้องจำนวนไม่น้อยถอดใจหลังจากล้มเหลวที่พยายามข้ามอุปสรรครอบด้าน โดยเฉพาะการถอดใจกับกลุ่มผู้ฟังที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจารย์นุเล่าเรื่องนี้ว่า
“มีเด็กที่ถอดใจไปจำนวนหนึ่ง บางคนหนักเลย คือบอกตัวเองว่า พอกันทีกับการเล่นดนตรี บางคนก็ดึงกลับมาได้ด้วยการบอกกับพวกเขาว่า ความละเอียดอ่อนในศิลปะแขนงหนึ่งจะช่วยตัวเขาได้อย่างไร อยากไปเรียนสาขาอื่นหรือเปลี่ยนอาชีพไปเลยก็ทำไป แต่ทำไมต้องทิ้งดนตรี ดนตรีไปทำร้ายตัวเขาตอนไหน เราอาจจะไม่ชอบหรือถูกทำร้ายจากสังคมแบบใดแบบหนึ่ง แต่นั่นมันไม่ใช่การทำร้ายที่มาจากดนตรี มีบางคนที่อยากออกไปหางานอื่นๆ หรือรับเล่นตามที่ต่างๆ เราก็ไม่ว่า แต่ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีก ก็มักจะเตือนว่าทำอะไรก็ได้แต่อย่าเล่นแบบให้ผ่านไปวันๆ จนลืมเรื่องการทำสิ่งที่ท้าทายเพื่อพัฒนาฝีมือตัวเอง”
อาจารย์นุเล่าอย่างอารมณ์ดีและยอมรับว่าแวดวงหรือโลกของดนตรีแจ๊ซในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกัน หากจะอยู่รอดก็ต้องตั้งสติคิดแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ให้ดีและผ่านพ้นไปให้ได้ ด้วยความพยายามที่มากกว่าคนอื่น
“โลกที่หมุนเร็วจะทำให้เด็กที่จริงจังในการเรียนรู้มีน้อยลงๆโลกสมัยใหม่มันเร็วมาก รวดเร็วไปหมดทุกอย่างจนความละเอียดอ่อนในการสัมผัสสิ่งต่างๆ ของคนน้อยลง การมองสิ่งต่างๆ ของคนรุ่นใหม่นั้นน้อยไปหน่อย พวกเขาอยากได้สิ่งที่ได้มาเร็ว หลายคนจ่ายเงินเรียนดนตรีแล้วอยากเก่งเลย แต่เรียนดนตรีไม่ง่ายขนาดนั้น ผมมักจะเปรียบเทียบให้พวกเขาตระหนักถึงเรื่องนี้ โดยบอกว่า ถ้าไปซื้อตำราทำอาหารมาทำตามรายละเอียดที่เขียนบอกไว้ทุกอย่างแล้วได้อาหารที่ไม่อร่อยเท่า จะเผาตำราทิ้งเลยมั้ย หรือจะตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่านั่นคืออะไร สิ่งที่เรียนจบมา อาจจะเป็นแค่พื้นฐานที่เรานำไปพัฒนาต่อได้ นำไปเรียนรู้ต่อไม่สิ้นสุด แจ๊ซจะเป็นใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จทางดนตรีหรือต่อยอดไปแบบไหนต่อไป เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยตัวเขาเอง”อาจารย์นุ กล่าวทิ้งท้าย ก่อนขอตัวไปเล่นดนตรีร่วมกับเด็กๆตรงไปนั่งหลังคีย์บอร์ดให้สัญญาณเตรียมพร้อมสำหรับการเล่นพลางเล่าประวัติเพลงที่จะบรรเลงสั้นๆ ครู่ต่อมา เสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก็ดังสอดประสานกันโดยมีเสียงร้องแทรกอย่างกลมกลืน กรูเข้าย้อมบรรยากาศของสถานที่นี้ ให้มีมนตร์เสน่ห์แห่งแจ๊ซระดับโลกขึ้นโดยพลัน


