Coffee with Class กาแฟ ชนชั้น และอื่นๆ
เพื่อนๆ ที่รู้จักผม จะรู้ว่าผมเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟมาแต่ไหนแต่ไร การชงกาแฟและการเที่ยวสรรหาเมล็ดกาแฟมาชิม
โดย...เอกศาสตร์ สรรพช่าง [email protected]
เพื่อนๆ ที่รู้จักผม จะรู้ว่าผมเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟมาแต่ไหนแต่ไร การชงกาแฟและการเที่ยวสรรหาเมล็ดกาแฟมาชิม เป็นส่วนหนึ่งของแรงขับส่วนตัวที่ต้องทำทุกๆ เช้า คนบางคนชอบดื่มน้ำผลไม้ปั่น บางคนต้องกินครัวซองต์ แต่สำหรับผมต้องกาแฟสดๆ ชงใหม่ๆ เท่านั้น จะกินกับอะไรค่อยว่ากันอีกที เวลาเดินทาง กาแฟที่เสิร์ฟตอนเช้า ถือเป็นมาตรวัดคุณภาพของโรงแรมเช่นกัน ถ้าอาหารดี แต่มาพร้อมกาแฟ Re-heat ที่ถูกต้มแล้วต้มอีก อันนี้ก็ถือว่าสอบตก
ตู้เย็นที่บ้านจึงสภาพเหมือนตู้แช่เนื้อ แต่เปลี่ยนจากเนื้อเป็นถุงกาแฟที่ยังไม่ได้แกะ (เก็บไว้ในช่องฟรีซช่วยรักษาความสดได้นานพอดู) ห้องครัวก็เต็มไปด้วยเครื่องชงต่างๆ ประดามีที่พอจะหาซื้อได้ ตั้งแต่เครื่องชงเอสเปรสโซ่ เครื่องแคปซูล เครื่องผ่านน้ำ หม้อต้มแบบมอคคาพ็อต เครื่องทำเอสเปรสโซ่แบบพกพา หรือเบสิกสุดอย่าง French Press ก็มีหลายอยู่
กาแฟทุกวันนี้เหมือนไวน์อยู่หลายอย่าง ต้องขอบคุณสตาร์บัคส์ที่ทำให้การแยกแยะรสชาติกาแฟตามแหล่งปลูกแต่ละภูมิภาค กลายเป็นจุดขายที่ทำให้กาแฟมีราคาสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับเมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว เมล็ดกาแฟที่มาจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลกที่ปลูกในความสูงต่างกัน ผ่านกรรมวิธีที่แตกต่างกัน คั่วต่างกัน มาจากคนละไร่ ก็ให้รสชาติไม่เหมือนกัน มีเอกลักษณ์และเพิ่มมูลค่าได้อีกมาก
ปัจจุบันกาแฟถือเป็นของเหลวอันดับ 3 ของโลกที่มีการซื้อขายกันมากที่สุด เป็นรองแค่ชาและน้ำมัน
ความพิเศษของกาแฟไม่ได้อยู่แค่รสชาติ กาแฟกลายเป็นเครื่องมือทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อผู้คนในวงกว้าง
เมื่อกลางเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ทางนิตยสาร Elle Men ของเรามีการจัดเสวนา ในหัวข้อ From Passion to Business โดยเชิญคนหนุ่มเจ๋งๆ หลายคนมาพูดถึงการเปลี่ยนความรักชอบให้มาเป็นธุรกิจ หนึ่งในบรรดาหลายคน เราเชิญ ลี อายุ จือปา มาโชว์การชงกาแฟ และเล่าถึงแบรนด์กาแฟ อาข่า อาม่า ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแบรนด์กาแฟที่ไปไกลระดับโลก ได้รับรางวัลมาแล้วจากหลายเวที
ชีวิตของลีเริ่มต้นจากติดลบด้วยซ้ำ เพราะเป็นชาวอาข่า พูดไทยยังไม่ได้เลย แต่ความรู้เรื่องกาแฟ และการไม่ยอมแพ้ของเขา ได้เปลี่ยนสถานภาพของเขาจากคนที่ยิ่งกว่าติดลบ กลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่
ชีวิตแบบลีเป็นตัวอย่างที่ดีของคนในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมกาแฟ ที่สามารถเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมของตัวเอง โดยเฉพาะเกษตรกรธรรมดาให้สามารถลืมตาอ้าปาก มีชีวิตที่ดีขึ้นได้
ถ้าคุณสนใจเครื่องดื่มพวกนี้อยู่บ้าง กาแฟเกี่ยวข้องกับเรื่องของชนชั้นมาโดยตลอด ไม่แพ้ไปกว่าชาเสียอีก แม้ว่ามันไม่ได้นำไปสู่การปฏิวัติใหญ่โตเหมือนชาหรือน้ำมันก็ตาม
กาแฟแพร่หลายไปทั่วโลก โดยประเทศผู้ล่าอาณานิคมอย่างสเปนหรืออิตาลี แต่เดิมก็ยังถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูง แต่ต่อมาเมื่อเริ่มมีการลักลอบปลูกและแพร่หลายมากขึ้น มันก็กลายเป็นสินค้าที่ทุกคนต้องการจนกลายเป็นธุรกิจกาแฟ ในยุโรป เวนิส ประเทศอิตาลี ถือเป็นที่แรกๆ ที่มีการค้าขายกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และเกิดเป็นร้านกาแฟหรือที่นักประวัติศาสตร์จะใช้คำว่า Coffee House ซึ่งต่อมามันได้กลายเป็นเครื่องมือและสัญลักษณ์ของความเท่าเทียมกัน
งงใช่ไหม? ไม่ต้องงงครับ อ่านต่อๆ
อิตาลีถือว่าเป็นประเทศแรกที่นำเข้ากาแฟมาที่ยุโรป เรือลำแรกที่มาเทียบท่าขนกาแฟ คือเมื่อราวศตวรรษที่ 16 ในเวนิส มันมาพร้อมกับผลไม้เมืองร้อนอื่นๆ ที่เริ่มเข้ามาในอิตาลี กระทั่งสมัยนั้นมีการเรียกเรือที่บรรทุกกาแฟเข้ามา ก็ยังเรียกว่า Limonaji (มาจาก Lemon Seller) มากกว่าที่จะเป็น Caffetieri (Coffee Seller) กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนอิตาลีแทบจะทันที และ Coffee House เกิดขึ้นในเวนิสในปี 1651 ซึ่งมีการบันทึกไว้โดยนักเดินทางชาวอังกฤษ ไม่นานนักเมื่อสิ้นศตวรรษนั้น กาแฟก็กลายเป็นเครื่องดื่มที่คนคุ้นเคยไปแล้ว มี Coffee House มากมายรอบ Piazza de San Marco หนึ่งใน Coffee House ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวนิสก็คือ Florian คนดังหลายๆ คนเคยมาที่นี่ตั้งแต่มันเปิดเมื่อปี 1720 รุสโซก็ยังเคยมาที่นี่ แม้กระทั่งคาซาโนว่าก็ยังเคยมา ปัจจุบันนี้ก็ยังเปิดทำการอยู่
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ Florian เป็นที่นิยมอย่างมาก มาจากการเปิดโอกาสให้สาวๆ ได้ใช้พื้นที่ใน Coffee House ได้ด้วย พวกเธอมักหาเวลาว่างมานั่งจับกลุ่มดื่มกาแฟและสังสรรค์ นั่นถือเป็นครั้งแรกที่พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้แบ่งแยกด้วยความเป็นเพศ และถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากที่ทำให้ Coffee House เติบโตอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 17 ในยุโรปเพราะสาเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
ไม่รู้มันเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่สำหรับผม นัยที่กาแฟเปิดกว้างต่อทั้งสองเพศ กาแฟเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สหรัฐเลือกให้เป็นเครื่องดื่มประจำชาติ (อาจจะแบบไม่เป็นทางการหรือทางการก็แล้วแต่มุมคนมองนะครับ) ทั้งๆ ที่ถ้าดูจากการเคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ มันน่าจะเป็นชามากกว่ากาแฟ
กาแฟก็กลายเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของคนอเมริกันได้อย่างรวดเร็ว ในศตวรรษที่ 19 มาจนถึงศตวรรษที่ 20 กาแฟก็กลายเป็นอุตสาหกรรมที่แสนจะเอาจริงเอาจังของสหรัฐไปแล้ว และครองความยิ่งใหญ่ด้วยชื่อบริษัทอย่าง Folgers, Chase & Sanborn, Arbuckle, Hill Bros. หรือ Maxwell ก่อนจะมาถึงแบรนด์กาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Starbucks
แม้ว่าต่อมานัยของการดื่มสตาร์บัคส์ในบางประเทศ อาจจะดูแตกต่างจากจุดกำเนิดมากก็ตาม


