เด็กไทยรุ่นใหม่ก้าวไกลในดนตรีคลาสสิก
เชื่อไหมว่า ต่อแต่นี้ไปประเทศไทยของเราจะมีนักดนตรีคลาสสิกรุ่นใหม่
โดย...วรธาร ทัดแก้ว ภาพ : สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา
เชื่อไหมว่า ต่อแต่นี้ไปประเทศไทยของเราจะมีนักดนตรีคลาสสิกรุ่นใหม่ ที่มากด้วยฝีมือในการบรรเลงดนตรีคลาสสิกอย่างเอกอุเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีไม่น้อยหน้านักดนตรีชาติตะวันตก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!! เพราะตอนนี้ประเทศไทยได้มีสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางด้านดนตรีแห่งแรกของประเทศแล้ว ซึ่งก็คือ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ตั้งอยู่เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี ที่พร้อมเดินหน้าปั้นบุคลากรดนตรีคลาสสิกสู่ความเป็นเลิศในภูมิภาคและในระดับนานาชาติ
ที่สำคัญเรียนฟรี!! ไม่เสียค่าหน่วยกิตใดๆ เพราะรัฐบาลสนับสนุนทุนพร้อม เพียงแต่ก่อนที่คุณจะก้าวเข้ามาเรียนในสถาบันได้ต้องใช้ความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านดนตรี สามารถสอบข้อเขียนและผ่านการสัมภาษณ์เท่านั้น
ล่าสุดเพิ่งเปิดอาคารใหม่ คือ อาคารคีตราชนครินทร์ ซึ่งเดิมคือตึกอำนวยการโรงสุราบางยี่ขัน ซึ่งเป็นอาคารโบราณที่ได้รับการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม ด้านหน้าอาคารฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประดิษฐานพระราชานุสาวรีย์ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ผู้ทรงสถาปนา “สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา” พร้อมกันนี้ ยังได้จัดกิจกรรม “Open Day” เปิดบ้านต้อนรับรวมทั้งแนะแนวการศึกษาแก่นักเรียนตลอดจนผู้ปกครองเมื่อกลาง พ.ย.ที่ผ่านมา
รศ.คุณหญิงวงจันทร์ พินัยนิติศาสตร์ อธิการบดี สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา กล่าวว่า สืบเนื่องจาก สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อครั้งทรงพระชนม์อยู่ ได้มีพระดำริที่จะสร้างสถาบันดนตรีขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการศึกษาด้านดนตรีและการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้กับเยาวชน
ต่อมาในปี 2550 ก็ได้มีการก่อตั้งสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาขึ้น โดยการริเริ่มของ ศ.เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรมขณะนั้น เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา (วันที่ 6 พ.ค. 2550) และร่วมสืบสานพระปณิธานของพระองค์ในการส่งเสริมการศึกษาด้านดนตรี และการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมเพื่อนำสังคมสู่ความสงบสุขและความรุ่งเรือง
“พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับดนตรี และมีราชพระปณิธานในการที่จะพัฒนาดนตรีคลาสสิกของประเทศไทยให้ก้าวหน้าทัดเทียมนานาชาติ ด้วยการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษทางด้านดนตรีคลาสสิกให้มีมาตรฐานระดับสากล รวมทั้งส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ดนตรีคลาสสิกที่ดีให้กับประชาชนชาวไทย พระองค์จึงได้พระราชทานพระนามของพระองค์ให้เป็นชื่อของสถาบันด้วย ซึ่งปกติจะไม่โปรดพระราชทานพระนาม ‘กัลยาณิวัฒนา’ ให้องค์กรใดง่ายๆ”
อธิการบดี กล่าวต่อว่า ทว่าหลังจากที่ได้ก่อตั้งสถาบันขึ้นในวันที่ 6 พ.ค. 2550 ในปีถัดมา 2551 พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ แต่รัฐบาลได้เห็นความสำคัญจึงดำเนินการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ณ วันที่ 25 พ.ค. 2555 ทำให้สถาบันมีสถานะเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเฉพาะทางด้านดนตรีแห่งแรกของประเทศไทย
ดร.อโณทัย นิติพน รองอธิการบดี ฝ่ายวิชาการและวิจัย กล่าวว่า หลังจากมีพระราชบัญญัติสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาในปี 2555 ถัดมาปี 2556 จึงได้เปิดทำการเรียนการสอนหลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต ภายใต้ปรัชญา Musique de la Vie et de la Terre หรือดนตรีแห่งชีวิต ดนตรีแห่งแผ่นดิน และวิสัยทัศน์เพื่อการไปสู่สถาบันการศึกษาทางด้านดนตรีชั้นนำระดับนานาชาติ จึงได้กำหนด 3 พันธกิจหลักในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าว
“อย่างแรกคือการสร้างและพัฒนาบุคลากรทางด้านดนตรีคลาสสิกที่มีศักยภาพสูง มีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถที่จะประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางด้านดนตรีให้เป็นประโยชน์ และเหมาะสมกับบริบทของสังคม ประการต่อมาคือศูนย์กลางในการเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านดนตรีและศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้สังคม สุดท้ายคือเป็นศูนย์รวมในการศึกษาค้นคว้าวิจัย บูรณาการ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านดนตรีระหว่างบุคคล ชุมชน และสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ”
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการฯ กล่าวต่อว่า การดำเนินงานของสถาบันภายใต้พันธกิจเหล่านี้จะนำไปสู่การดำเนินรอยตามพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในการที่จะสร้างดนตรีคลาสสิกให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติไปสู่ความเจริญทั้งทางร่างกาย สติปัญญา และจิตใจ
อ.คมสัน ดิลกคุณานันท์ รักษาการแทนคณบดีสำนักวิชาดุริยางคศาสตร์ กล่าวว่า ผู้ที่มีสิทธิสมัครเข้าเรียนดุริยางคศาสตรบัณฑิต (หลักสูตร 4 ปี 132 หน่วยกิต) จะต้องจบ ม.6 หรือเทียบเท่า หรือกำลังศึกษาอยู่ในชั้น ม.6 มีทักษะและความสามารถในการร้องและปฏิบัติเครื่องดนตรีได้ดี โดยประเภทเครื่องดนตรี ได้แก่ เครื่องสายตะวันตก (Strings) ประกอบด้วย ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส และฮาร์ป เปียโน ขับร้องคลาสสิก (Voice) เครื่องเป่า ประกอบด้วย เครื่องลมไม้ (Woodwind) ได้แก่ ฟลุต โอโบ คลาริเน็ท และบาสซูน เครื่องลมทองเหลือง (Brass) ได้แก่ ฮอร์น ทรัมเป็ต ทรอมโบน และทูบา
“การสอบคัดเลือกต้องผ่านการแสดงต่อหน้าสาธารณชน หรือ Public Audition ซึ่งวิธีนี้สามารถคัดเลือกเยาวชนที่มีศักยภาพทางด้านดนตรีสูง รวมทั้งมีทักษะในการสื่อสารผ่านดนตรีกับสาธารณชน รวมทั้งกระบวนการสอบสัมภาษณ์และการสอบข้อเขียนที่มุ่งเน้นการประเมินในเชิงทักษะ และความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์ทางด้านดนตรีกับการปฏิบัติจริง ซึ่งจะทำให้สามารถคัดเลือกนักศึกษาที่มีทัศนคติที่พร้อมต่อการเรียนรู้”
อ.คมสัน กล่าวอีกว่า ผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้รับสิทธิในการพิจารณาทุนการศึกษาค่าเล่าเรียนโดยอัตโนมัติ โดยรัฐบาลได้สนับสนุนทุนค่าเล่าเรียนปีการศึกษาละ 30 ทุนฟรี ส่วนช่วงเวลารับสมัครปัจจุบันยังคงเปิดรับสมัครไปจนถึงเดือน มี.ค.ปี 2559 ขณะที่ในเดือน ต.ค.-เม.ย. จะเป็นการสอบภาคปฏิบัติและข้อเขียน
ธารตะวัน เครืออ่อน นักศึกษาปีที่ 1 จาก จ.ราชบุรี เปิดเผยว่า เธอเล่นเปียโนตั้งแต่ 4 ขวบ โดยคุณพ่อซึ่งทำงานเกี่ยวกับศิลปะให้การสนับสนุนเต็มที่ เพราะคุณพ่อมองว่าดนตรีเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง อยากให้เธอทำงานด้านนี้ และเธอก็ชอบ รู้สึกดีใจมากที่ได้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามาและจะไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวัง
ขณะที่ ธนพร ทรงเกียรติศักดิ์ นักศึกษาปีที่ 2 กล่าวว่า เธอเรียนเปียโนที่โรงเรียนดนตรียามาฮ่าตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นพอมัธยมก็เข้าเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล จบแล้วมาสมัครสอบที่สถาบัน โดยการสนับสนุนจากครอบครัวที่อยากให้เป็นนักดนตรีและทำงานเกี่ยวกับดนตรีไปตลอดชีวิต
“ตอนแรกหนูคิดจะเรียนหมอ แต่ทางครอบครัวสนับสนุนให้มาทางนี้สุดๆ หนูไม่ขัดข้องพอได้มาเรียนรู้สึกแฮปปี้มากและมีความสุขที่ทำให้พ่อแม่มีความสุขด้วย ความตั้งใจของหนูคือต้องการเป็นนักดนตรี เป็นอาจารย์สอนดนตรีและมอบความสุขให้คนฟัง”
ปิดท้ายที่ ไอย์รินทร์ เกตน์ธัญนพ (แพร) นักศึกษาปีที่ 1 กล่าวว่า เธอมีความสามารถในการเล่นไวโอลิน หลังจบวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เข้ามาออดิชั่นที่สถาบัน ซึ่งรุ่นเธอเปิดให้ออดิชั่น 5 รอบ และเธอผ่านการคัดเลือก ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด ตอนนี้นอกจากจะเป็นนักศึกษาของสถาบัน แล้วยังทำงานเป็นครูสอนดนตรีให้กับเด็กๆ ที่สถาบันสอนดนตรีเคพีเอ็นที่ห้างเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ทุกวันเสาร์ด้วย
“หนูว่าเรียนดนตรีมีอนาคตแน่นอน จบแล้วสามารถเป็นได้หลายอย่าง เช่น ทำงานในวงการบันเทิงก็ได้ เป็นครูสอนดนตรีก็เหมาะ หรือเป็นนักดนตรีก็ได้สบายๆ”


