อมร คำแสง ผู้เสกสร้างศิลปะรอยสัก บนเรือนร่าง
ย่างก้าวชีวิตของ อมร คำแสง หนุ่มรุ่นใหม่จากเมืองกล้วยไข่ (กำแพงเพชร) ต้องยอมรับว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นที่ใฝ่หาความมั่นคงให้กับชีวิตคนหนึ่ง
โดย...วรธาร ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
ย่างก้าวชีวิตของ อมร คำแสง หนุ่มรุ่นใหม่จากเมืองกล้วยไข่ (กำแพงเพชร) ต้องยอมรับว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นที่ใฝ่หาความมั่นคงให้กับชีวิตคนหนึ่ง เขาชอบพึ่งตัวเองมากกว่ารอการหยิบยื่นความช่วยเหลือจากคนอื่นและครอบครัว และสิ่งที่บ่งบอกคุณสมบัติดังกล่าวที่เห็นได้ชัดคือ ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเขาแทบไม่ได้รบกวนการเงินของทางบ้านเลย
อมรหาเงินส่งตัวเองเรียนตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนกระทั่งเรียนจบ ซึ่งเงินเหล่านั้นเขาได้มาจากการเป็น “ช่างสัก” อันเป็นความสามารถที่เขาฝึกปรือตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย โดยพยายามพัฒนาฝีมือมาเรื่อยๆ จนในที่สุดจากช่างสักธรรมดาที่รู้จักกันแค่ในหมู่เพื่อน แต่วันนี้เขากลายมาเป็นช่างสักมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ
ปัจจุบันเขาเปิดร้านสักเป็นของตัวเองและตกแต่งร้านในสไตล์วินเทจเก๋ไก๋ชื่อว่าร้าน mornikk tattoo ซึ่งมาจากคำว่า morning (ตอนเช้า) ตั้งอยู่บนชั้นที่ 2 ของร้านอาหารบีชิก (Be Chic) ริมถนนศรีนครินทร์ ไม่ไกลจากห้างพาราไดซ์ ศรีนครินทร์ เปิดให้บริการทุกวันอังคาร-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) เวลา 14.00-02.00 น.
เริ่มมาจากชอบรอยสัก
อมร เล่าว่า เขาชอบการสักมานานเพราะเห็นว่าสวยดีและดูมีเสน่ห์ ที่สำคัญเขามองว่าการสักเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่สวยงามไม่แพ้ศิลปะแขนงอื่น เพียงแต่เขาไม่ชอบที่จะมีลายสักอยู่บนเรือนร่างของตัวเอง ซึ่งเป็นอะไรที่ต่างจากช่างสักทั่วๆ ไปที่มักจะเห็นรอยสักปรากฏให้เห็นบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา หน้าอก ไหล่ เป็นต้น
“ผมชอบลายสักครับ มองแล้วสวยดี แต่ไม่ถึงกับอยากเอามาไว้บนตัว แต่จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ใช่ เพราะตอนเรียน ปวช.ผมเคยสักไว้ที่หลังเหมือนกัน แต่ที่อื่นๆ ไม่มีเพราะไม่ชอบ ชอบสักให้คนอื่นมากกว่า โดยเริ่มจากสักให้เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียน ปวช. เพราะมีพื้นฐานศิลปะเนื่องจากเรียนช่างศิลป์ ลาดกระบัง ก็สักมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้จริงจังจนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งเริ่มสักได้บ่อย”
อมร เล่าว่า ตอนเรียนปริญญาตรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เขาเรียนวิจิตรศิลป์ ถือว่าเรียนเกี่ยวกับศิลปะเหมือนกัน เขาได้พยายามเอาเรื่องแทททูเข้าไปเกี่ยวข้องแต่อาจารย์ไม่ค่อยชอบ เพราะแทททูเป็นงานสองมิติเชิงพาณิชย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนเป็นเชิงศิลปะบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ
“ดังนั้น ในการสักผมจึงเอามุมมองด้านความสวยงามมาขยายเป็นฟอร์มสามมิติกับเรื่องราวของคนที่สักมาแนว Old School ในยุคเก่าของวัยรุ่น สักเป็นลายเส้นกราฟฟิกง่ายๆ ในเรื่องของความรัก ความเจ็บปวด เป็นต้น”
ช่างสักหนุ่มเล่าต่อว่า จริงๆ แล้วการเป็นช่างสักของเขามีแรงผลักดันมาจากต้องการหาเงินส่งเสียตัวเองเรียน เพราะไม่อยากรบกวนทางบ้าน ซึ่งก็เห็นว่าสิ่งที่ทำแล้วได้เงินและตัวเองสามารถทำได้ก็คืองานเกี่ยวกับศิลปะดังนั้นเขาจึงหาเงินด้วยการสัก เพราะช่วงนั้นการสักกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยที่ได้รับอิทธิพลจากคนต่างชาติ
เปลี่ยนความชอบเป็นอาชีพ
การเป็นช่างสักอมรเริ่มเรียนรู้เทคนิคการสักและลายต่างๆ โดยการฝึกฝนตามยูทูบและค้นหาข้อมูลการสักจากที่ต่างๆ รวมทั้งสอบถามจากรุ่นพี่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของเขา เพราะมีพื้นฐานด้านวาดรูปหรือศิลปะอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าศิลปะนั้นไม่มีเทคนิคตายตัว แค่เปลี่ยนจากปากกาดินสอมาใช้เข็มแทนเท่านั้น
“ช่วงแรกๆ ผมถนัดงานขาวดำ ลายก็จะเป็นลายการ์ตูน ส่วนลูกค้าก็เริ่มจากกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันสักฟรีก่อน ต่อมาก็เก็บค่าสัก จากนั้นเริ่มสักให้คนข้างนอก เพื่อนของเพื่อนจากการบอกต่อ งานจึงมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ทำทุกวัน ทำเฉพาะวันหยุดหรือเวลาว่างเท่านั้น เพราะต้องให้เวลากับการเรียน”
อมร เล่าว่า การสักต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งข้อจำกัดของร่างกายและความต้องการของลูกค้า รวมถึงมุมมองของเขาด้วยในฐานะช่างสัก ซึ่งต้องนำเสนอข้อมูลการสักให้กับลูกค้าได้รู้ด้วย ไม่ใช่ว่าลูกค้าจะเอาลายอะไร อยากได้แบบไหนจัดให้หมดไม่ใช่เลย เขาต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของร้านด้วย
“ตำแหน่งสักควรวางลายตรงไหนจึงจะเหมาะ บางคนไม่อยากให้ลายออกนอกเสื้อผ้า แต่เวลาสักมันต้องออกเราก็จะบอกลูกค้าตรงๆ ว่ามันไม่ได้ ยังไงมันก็ต้องโผล่ออกนอกเสื้อผ้า ทำไม่ได้บางทีตำแหน่งที่สักเราเห็นว่าไม่ได้จริงๆ หรือสักแล้วไม่สวย แต่ลูกค้าบอกจะเอาเช่นนี้เราก็ไม่สักเพราะสักไปก็เสียชื่อร้านเปล่าๆ เรื่องเงินใครก็อยากได้ แต่นี่คืองานฝีมือ ถ้าทำไม่ดีแล้วใครจะอยากมาสักครับ”
เจ้าของร้าน mornikk tattoo กล่าวว่า ลายที่ลูกค้าชอบ ได้แก่ ลายกราฟฟิก ลายเส้นรูปทรงเรขาคณิต ส่วนยุค Old School ก็นิยม ทุกวันนี้เขาออกแบบลายไว้มากมาย โดยมีเพื่อน (เบส-กฤษฎ์ อินแปลง) มาช่วยออกแบบอีกแรง เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกสรร แต่บางทีลูกค้าเอาแบบมาเองซึ่งก็ต้องขอพบกันคนละครึ่งทาง เช่น แบบอาจจะเป็นของลูกค้า แต่สไตล์เป็นของเขา เพราะถ้าทำตามลูกค้าทั้งหมด โดยที่เขาไม่ถนัดงานก็จะออกมาไม่ดี
“ทุกครั้งที่ลูกค้ามาหาก็จะเปิดงานที่ออกแบบไว้ให้ดู หลายๆ ครั้งงานที่เราออกแบบก็เปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนความต้องการของเขาได้ เช่น บางคนถือแบบมาแต่พอมาเจองานเราก็เปลี่ยนใจหันมาเลือกแบบเราก็มาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาแสดงว่าเขาศึกษางานเรามาบ้างแล้ว”
การสักคืองานศิลปะและแฟชั่น
ต้องเข้าใจว่าการสักเป็นแฟชั่น ลูกค้าที่มาหาถ้าไม่รู้จะสักอะไรผมจะแนะนำง่ายๆ เกี่ยวกับตัวเขา เช่น ถ้าสักเกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดก็แนะนำให้สักสัญลักษณ์แทน เช่น เกิดราศีไหนก็สักรูปราศีนั้น แต่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่เรียนออกแบบ ฉะนั้นก็จะมีแบบมาเราก็แค่ปรับเพิ่มใส่สไตล์ของเราเข้าไปให้รู้ว่ารูปนี้ลายนี้มาจากร้านเรา”
อมร เล่าว่า ทุกวันนี้อาชีพช่างสักของไทยเยอะ มาตรฐานการสักก็เทียบเท่าต่างประเทศ แต่ลายเส้นของเขาอาจสู้ของไทยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกราฟฟิกสมัยใหม่ก็ต้องยอมรับว่าคนไทยก็สู้เขาไม่ได้เช่นกัน
สำหรับใครที่อยากจะสักกับอมรขอบอกไว้ก่อนเด็กที่ต่ำกว่าอายุ 20 ปีเขาไม่สักให้ ฉะนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จึงเริ่มที่อายุ 20 ปีขึ้นไปถึง 30 ปี ผู้หญิงและผู้ชายเท่าๆ กัน กลุ่มผู้หญิงจะชอบสักลายกราฟฟิกน่ารักๆ ตามตำแหน่งที่เห็นลอยสักนิดหนึ่ง เช่น ตามนิ้ว หลังหูไว้เป็นพร็อพราคาเริ่มต้นที่ 1,500 บาท จนถึงหลักหมื่น ลายเล็กๆ ใช้เวลาสักไม่นาน ถ้าลายใหญ่ประมาณ 3 ชั่วโมง
เปิดร้านด้วยทุนตัวเอง
อมร เล่าว่า ทำอาชีพนี้จริงจังมา 3 ปี รายได้ต่อเดือนอยู่ที่หลักแสน มากสุดเดือนหนึ่งได้ประมาณ 2 แสนบาท ทุกวันนี้ชีวิตมีความสุขดี มีเงินซื้อรถยนต์ขับ และเปิดร้านใหม่แห่งนี้ ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 5 แสนบาท ในการตกแต่งร้านในสไตล์วินเทจ ส่วนเครื่องสักก็ลงทุนไป 5 หมื่นบาท
“ผมว่าอาชีพนี้ ณ ปัจจุบันสามารถเลี้ยงชีวิตเราได้ แต่จริงๆ แล้วผมชอบงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์มากกว่า ผมว่ามันไปด้วยกันได้กับอาชีพที่ผมทำอยู่ มันสามารถเอาลวดลายกราฟฟิกไปประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งผมก็เล็งๆ ไว้อยู่ว่า ถ้าจะทำธุรกิจอะไรสิ่งนั้นก็น่าจะเป็นการออกแบบเฟอร์นิเจอร์”
ท้ายสุดอมรฝากว่า การสักไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะสักก็จงอย่าคิดที่จะลบ ส่วนใครที่อยากให้อมรสักลายให้สามารถเข้าไปดูข้อมูลทุกอย่างได้ที่ Facebook: Moentattoo


