หัวใจเต้นถี่ที่ เกาะใต้นิวซีแลนด์
ดูลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์แล้วอยากมุดตัวเองเข้าไปอยู่ในจอภาพยนตร์ ภาพความมหัศจรรย์ของธรรมชาติสุดแปลกตา
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ นันท์นภัส ศรีตะกูลรัตน์
ดูลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์แล้วอยากมุดตัวเองเข้าไปอยู่ในจอภาพยนตร์ ภาพความมหัศจรรย์ของธรรมชาติสุดแปลกตาในหลายๆ ฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ เหลือเชื่อที่ยังติดตาและตรึงอยู่ในใจ โจทย์ครั้งนี้จึงเป็นการพาตัวเองไปเที่ยวนิวซีแลนด์ ท้าพิสูจน์ตัวเองในหลายๆ ฉากจากลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ สิ่งที่ได้มาคือความสุขและความประทับใจที่ “แอนดารีน” หรือนันท์นภัส ศรีตะกูลรัตน์ นักเขียนคนดังจากปริ๊นเซส อยากเล่าสู่ผู้คนให้หัวใจเต้นแรง
ในทันทีก็ลัดฟ้าไปเกาะที่อยู่เกือบใต้สุดของโลก นิวซีแลนด์ เมารีเรียกนิวซีแลนด์ว่า เอาเตอารัว (Aotearoa) หมายถึงดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว ว้าว ว้าว ว้าว! หากจุดหมายปลายทางของทริปนี้คือควีนส์ทาวน์ (Queenstown) เกาะใต้อันลือลั่นของนิวซีแลนด์และของโลก ควีนส์ทาวน์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาขนาดใหญ่ เดอะ รีมาร์คเอเบิลส์ (The Remarkables) ที่ความสูงตระหง่านของเทือกเขาไล่ความสูงชันอย่างรวดเร็ว โดยดับเบิลโคน (Double Cone) ที่ระดับ 2,340 เมตร!
ไม่เพียงเท่านั้น เดอะ รีมาร์คเอเบิลส์ยังตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบวาคาตีปู (Lake Wakatipu) ทะเลสาบที่เกิดจากธารน้ำแข็ง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ รองจากตาอูโป และ เต อานาอู ความที่มีระดับน้ำขึ้นลงต่างกันได้ถึง 12 เซนติเมตร ทุกๆ 5 นาที และรูปร่างเหมือนงูเลื้อย จึงมีตำนานเมารีกล่าวถึงอสุรกายที่นอนอยู่ใต้ร่องลึกของทะเลสาบ และน้ำที่ขึ้นลงเป็นจังหวะถี่แบบนี้ก็เพราะการเต้นของหัวใจมัน วาคาตีปูมาจากภาษาเมารี วาคา แปลว่าเรือ และตีปู แปลว่าอสุรกาย
น้ำในทะเลสาบวาคาตีปูใสราวกระจกเปรียบเสมือนชีวิตจิตใจของที่นี่ ยังมีตำนานเมารีที่เล่าว่า ทะเลสาบนี้เกิดจากหนุ่มน้อยผู้หนึ่งจุดไฟเผาลำตัวยักษ์ที่กำลังหลับ น้ำแข็งจึงละลายไหลลงสู่ช่องว่างกลางลำตัวยักษ์จนเต็ม ในช่วงเย็นจะมีชาวเมืองและนักท่องเที่ยวออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งเล่นกระดานโต้คลื่น นอนเล่นริมหาด ชมพระอาทิตย์ตกดิน หรือบางคนก็เลือกไปสัมผัสความเย็นสุดขั้ว จิบค็อกเทลเบาๆ ในแก้วน้ำแข็งที่บาร์น้ำแข็งชื่อก้องโลก “บีโลว์ซีโร” ตั้งอยู่กลางเมือง เดินเพียง 5 นาทีจากทะเลสาบ
ไม่น่าเชื่อว่า พื้นที่เดิมหรือที่เรียกว่าเซ็นทรัลโอตาโก จะเคยเป็นพื้นที่แห้งแล้งมาก่อน สิ่งที่ทำให้ผู้คนอพยพมาตั้งรกรากเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ คือทรัพยากรแร่ทองคำ หยก การทำไฟฟ้าพลังน้ำ และทุ่งหญ้าที่เหมาะแก่การทำปศุสัตว์ ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ ปิ โนต์ นัวและชาร์ดอนเนย์ชั้นดี มาที่นี่จึงไม่แปลกใจเมื่อได้เห็นไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตากระจายอยู่รอบย่านชานเมือง
ควีนส์ทาวน์ยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ร้านกาแฟ ไนต์คลับ แหล่งช็อปปิ้ง ที่สำคัญยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่พร้อมจะกระตุ้นต่อมผจญภัยสำหรับผู้รักกิจกรรมท้าทาย ที่นี่มีกีฬาเอ็กซ์ตรีมหลายประเภท หากที่เป็นสุดยอดความท้าทายคือบันจี้จัมพ์ (Bungy Jump) ด้วยความสูงตั้งแต่ 35-134 เมตร เวลาดิ่งลงมาจะได้เห็นวิวของควีนส์ทาวน์ในอีกมุม (ฮา) มีให้เลือกจัมพ์ทั้งกลางวันและกลางคืน ถ้าดิ่งตอนกลางคืนจะเห็นควีนส์แลนด์ในแบบแสงสี ซึ่งสวยมาก
นี่คือกิจกรรมที่รอคอยและคงพูดไม่ได้เต็มปากว่ามาควีนส์ทาวน์ อย่างน้อยควรทำกิจกรรมโลดโผนสักหนึ่งอย่าง นันท์นภัสเล่าว่า เธอเลือกกระโดดบันจี้จัมพ์ที่ความสูง 43 เมตร โดยเลือกกระโดดที่เอ.เจ.แฮกเกตต์บันจี้จัมพ์แห่งสะพานคาวารัว ที่นี่แม้ไม่ใช่จุดกระโดดบันจี้จัมพ์ที่สูงที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่โด่งดังคือความคลาสสิก เนื่องจากเป็นเจ้าแรกที่ทำกิจการกระโดดบันจี้จัมพ์ในเชิงพาณิชย์
“การกระโดดบันจี้จัมพ์ที่สะพานคาวารัว เป็นสิ่งที่คุณจะจดจำอยู่ในใจไปชั่วชีวิต ที่นี่เป็นสะพานแขวนเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 140 ปี และเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของนิวซีแลนด์ด้วย ตัวสะพานทอดเหนือแม่น้ำสายใหญ่ไหลเชี่ยวกรากอยู่ด้านล่าง น้ำสีฟ้าอมเขียวช่างสวยงาม ขณะที่รอบตัวของเราคือภูเขาหินสูงชัน” นันท์นภัสเล่า
หลังทำกิจกรรมกระตุ้นหัวใจเรียบร้อยดีแล้ว (ฮา) นันท์นภัสขึ้นรถเดินทางต่อไปยังมิลฟอร์ดซาวนด์ (Milford Sound) แหล่งท่องเที่ยวชมทัศนียภาพทางธรรมชาติอีกแห่ง ที่นี่เป็นฟยอร์ดขนาดใหญ่ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ประกอบกับบรรยากาศเย็นจากขั้วโลกใต้และสายน้ำกัดเซาะ ส่งผลให้เกิดเป็นชายฝั่งเว้าแหว่งที่งดงาม ชาวนิวซีแลนด์เรียกขานมิลฟอร์ดว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
ที่นี่มีน้ำตกโบเว่น (Bowen Falls) น้ำตกที่สูงที่สุดของนิวซีแลนด์ 160 เมตรจากหน้าผา ก่อนจะไหลลงมากระทบโขดหินด้านล่าง และไหลลงสู่ทะเลสาบในที่สุด บริเวณรอบๆ น้ำตกยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเหล่าแมวน้ำจำนวนมาก ถ้าโชคดีจะได้เห็นน้องแมวน้ำมานอนอาบแดด เส้นทางสู่มิลฟอร์ดซาวนด์ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดในนิวซีแลนด์ด้วย เมืองที่ใกล้ที่สุด (ที่มีปั๊มน้ำมันและร้านอาหาร) คือ เต อาเนา ต้องเตรียมน้ำมันให้เต็มถัง เพราะสองร้อยกิโลเมตรจากนั้นมีแต่ป่ารายล้อม
“ที่พักของเราห่างจากมิลฟอร์ดซาวนด์ร้อยกิโลเมตร เพื่อให้ทันเรือรอบแรกเก้าโมงเช้า จึงต้องตื่นเช้าตรู่ เตรียมตัวออกจากโมเต็ลตั้งแต่พระจันทร์ยังลอยอยู่บนฟ้า พระจันทร์ดวงใหญ่สีเหลืองนวลเพิ่งจะคล้อยต่ำสู่ช่องเขา สวยจนแทบลืมหายใจ บนฟ้าไร้ดาวคืนนั้นคือพระจันทร์ดวงใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา” นันท์นภัสเล่า
ถนนลาดยางสองเลนพุ่งเข้าสู่ป่ารก บางช่วงเป็นทุ่งหญ้าที่มีฝูงวัวและแกะนอนซุกให้ไออุ่นแก่กันภายใต้หมอกยามเช้า สิ่งที่เห็นนับไม่ถ้วนคือกระต่ายป่าตาแป๋วที่จ้องมองรถของนักเดินทางอย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังมีกวางตัวใหญ่ที่เหมือนจะงงกับรถคันแรกของวัน วิ่งขนาบไปกับรถเป็นระยะทางเกือบร้อยเมตรก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในป่าข้างทาง ยิ่งลึกเข้าไป หมอกยิ่งลงจัดจนมองแทบไม่เห็นเบื้องหน้า
เอกลักษณ์อีกอย่างของเส้นทางนี้คือรถทุกคันต้องวิ่งผ่านอุโมงค์โฮเมอร์ ความยาว 1.2 กิโลเมตร ซึ่งเคยเป็นอุโมงค์หินที่ยาวที่สุดในโลก ก่อนจะมีการปรับปรุงขยายอุโมงค์และฉาบผนังด้วยปูน โดยก่อนศตวรรษที่ 20 มิลฟอร์ดซาวนด์ได้ชื่อว่าเป็นบริเวณที่มีการสำรวจน้อยที่สุดในนิวซีแลนด์ กระทั่งมีการสร้างอุโมงค์ขึ้นในปี ค.ศ. 1954 บริเวณนี้จึงคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก สมัยก่อนการเดินทางมาที่นี่ต้องอาศัยเรืออย่างเดียว ทิวทัศน์จากทะเลมาถึงชายฝั่งสวยมากจนทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อ
“ท่าเรือมิลฟอร์ดซาวนด์มีผู้ให้บริการเรือนำเที่ยวหลายบริษัท ทั้งเล็กและใหญ่ แต่เราเลือกขึ้นเรือของบริษัทเล็กๆ เป็นเรือลำเล็กๆ ในราคาเล็กๆ ที่รับไหว ข้อดีคือมีความเป็นส่วนตัวสูง กลุ่มของเรามีสามคนได้ครอบครองพื้นที่ด้านหลังเรือโดยไม่มีใครรบกวน แถมเรือยังพาเราเข้าใกล้สัตว์ทะเลและน้ำตกมากๆ อย่างที่เรือใหญ่ทำไม่ได้”
สองฟากฝั่งเป็นภูเขาสูงชันที่มีน้ำตกหลายสายไหลลงมา บ้างก็เป็นน้ำตกสายใหญ่ที่น้ำไหลตกกระทบพื้นน้ำอย่างแรง บ้างก็เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่สายน้ำกระเซ็นเป็นละอองอยู่กลางอากาศโดยไม่ทันตกลงสู่เบื้องล่าง อากาศเย็นสบาย ลมพัดเอื่อย กลิ่นทะเลอบอวล ฝูงสัตว์น้ำทั้งเพนกวินและแมวน้ำผลัดกันขึ้นมาโชว์ตัวเหมือนรู้คิว ยอดเขาสูงเสียดเมฆ งดงามจนไม่อยากกะพริบตา
“ทริปนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นสิ่งที่ได้พบระหว่างทางซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกสงบสุข ทั้งตื่นเต้นประทับใจ ทิวทัศน์สวยงามมองไม่เบื่อ น้ำสีฟ้าจัดพอๆ กับสีของท้องฟ้า หญ้าสีเขียวเข้มปกคลุมทิวเขา ถ้าสวรรค์มีจริง ก็ต้องอยู่ที่นิวซีแลนด์นี่แหละ”


