ปาฏิหาริย์แห่งชีวิต ทวีศักดิ์ อัครวงษ์
ข้าราชการดุริยางคศิลปิน ระดับชำนาญการพิเศษ กรมศิลปากร ผู้มีความเชี่ยวชาญระนาดเอก “ทวีศักดิ์ อัครวงษ์”
โดย...โจ เกียรติอาจิณ ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช/ เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์/ รอยเตอร์ส
ข้าราชการดุริยางคศิลปิน ระดับชำนาญการพิเศษ กรมศิลปากร ผู้มีความเชี่ยวชาญระนาดเอก “ทวีศักดิ์ อัครวงษ์” บอกเล่าถึงอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่าเขาคือคนเดียวกับคนนั้น ฟังแล้วชวนระทึกในสิ่งที่เขาประสบพบเจอ วันนี้เขาจึงนำมานำแบ่งปันให้ทุกคนรับฟัง
รถคว่ำ คนปลอดภัย ระนาดไร้ตำหนิ
ปี 2550 ณ จ.นครสวรรค์ บ้านเกิดของทวีศักดิ์ แดดยามสายสาดแสงเรืองรอง ท้องฟ้าโปร่งไม่มีฝนตั้งเค้า ราว 11 โมง เขาเตรียมตัวออกจากบ้าน ด้วยรู้ว่าตอนเย็นมีงานแสดงดนตรีที่กรุงเทพฯ เขาและเพื่อนรุ่นน้องที่ไปด้วยกันร่ำลาบุพการีและเครือญาติ แล้วก็ไม่ลืมจุดธูปไหว้ครูบาอาจารย์ที่นับถือเช่นที่เคยปฏิบัติ เพื่อให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
เช็กท้ายกระโปรงรถ มีผืนระนาดพร้อมรางระนาดอยู่ครบ ประตูรถยนต์ส่วนตัวถูกเปิด ทวีศักดิ์นั่งฝั่งคนขับ ทำหน้าที่เป็นสารถี ขณะที่เพื่อนรุ่นน้องนั่งข้างๆ ทันใดมือเขาก็ไวปานจรวด คว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอว เพราะเหตุใดไม่รู้ เนื่องจากปกติไม่ใช่เรื่องที่เขากระทำ อันนี้รุ่นน้องก็รู้ดีว่าลูกพี่ไม่ชอบคาดเข็มขัดนิรภัย เมื่อเห็นก็ได้แต่ทำสีหน้างงๆ ไม่สนใจไปทักท้วง
“ต้องบอกอย่างนี้ครับ ผมน่ะเป็นคนที่ไม่ชอบคาดเข็มขัดเลย ไม่ว่าจะขับเร็วขับช้า เป็นมานานแล้วครับ วันนั้นจู่ๆ พอผมขึ้นรถได้ นั่งตรงคนขับก็ดึงเข็มขัดมาคาดเฉย ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่ก่อนออกจากบ้านผมก็ได้จุดธูปบอกครูบาอาจารย์ที่นับถือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำปกติของผมอยู่แล้ว เพื่อขอให้เดินทางปลอดภัย”
ทันทีที่ล้อรถยนต์เคลื่อนตัวออกจากบ้าน เส้นทางนครสวรรค์มุ่งสู่กรุงเทพฯ ที่เขาคุ้นชิน กะระยะเวลา 2 ชั่วโมงกว่า หรือบวกลบก็ไม่น่าจะเกิน 3 ชั่วโมง คงถึงที่หมายและได้พักผ่อนเอาแรง ก่อนจะเตรียมตัวร่วมงานแสดงในตอนค่ำ ก็มากโขสำหรับตารางเวลาที่ถูกวางไว้
เข็มไมล์พวงมาลัยแสดงตัวเลข 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เจ้าถิ่นขับขี่เองก็ยากอยู่พอสมควรที่จะควบคุมพวงมาลัย แต่เพราะทวีศักดิ์คือผู้สันทัดกรณีทั้งเส้นทางและการกะเวลา จึงไม่ใช่ปัญหาน่าวิตก ตลอดเส้นทางทุกอย่างราบรื่นและรวดเร็วเสียด้วยซ้ำ กระทั่ง...
“ขับมาถึงลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ถ้าเลี้ยวขวาจะไปโรงถ่ายดาราวิดีโอ ความเร็วก็ยังเท่าเดิมอยู่ครับ ขึ้นสะพานมา เสียงดังในหูผมได้ยินแค่เสียงตึ้ง มารู้อีกทีตัวผมหมุนแล้ว หันไปดูน้องที่นั่งข้างๆ ก็ปรับเบาะนอน มือผมจับพวงมาลัยแน่น แต่ตัวเองกำลังตีลังกาอยู่ มีสติครับ ไม่ได้หลับใน ตอนนั้นที่นึกได้คือพ่อแม่กับครูบาอาจารย์ ช่วยผมด้วยครับ รถตีลังกาลงจากสะพานแล้วยังไถลออกข้างทาง น่าจะประมาณสิบสองไม่ก็สิบสามตลบเห็นจะได้ หลักฐานคือต้นกกที่อยู่ริมทางล้มระนาบเลย พอรถหยุด รถก็นอนตะแคง ตัวผมอยู่ข้างบน น้องที่ไปด้วยกันนอนนิ่ง ผมตกใจแต่ยังมีสติก็เขย่าตัวน้อง สักพักน้องก็ตื่น”
หลังเหตุการณ์สงบ คนแถวนั้นและละแวกใกล้เคียงต่างก็มามุงดู รถกู้ภัย รถพยาบาล รถตำรวจ สแตนด์บายพร้อมให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เสียงทุกคนพูดตรงกันและดังมาจากทุกทิศทาง ไม่น่ารอด พลันที่เสียงเซ็งแซ่นั้นจะเงียบงัน พี่เบิ่งและเพื่อนร่วมทางก็ออกมาจากรถยนต์อย่างปลอดภัย
“ผมไม่เป็นอะไร ร่างกายไม่มีบาดแผล อ่อ!!! มีๆ เจ็บที่เท้าที่ไปโดนเกียร์หน่อยเดียว เพราะใส่รองเท้าแตะขับรถ ส่วนน้องที่นั่งข้างๆ แค่หัวโน กู้ภัยพาผมกับน้องเดินลุยออกมาจากดงกก ซึ่งมีหนามไมยราบ เหยียบแบบไม่รู้สึกอะไร อาจจะเพราะตกใจ พอพ้นน้ำเท่านั้นแหละ เลือดเลย (หัวเราะ)
สภาพรถที่เห็นคือส่วนที่นั่งด้านหน้าที่ผมนั่งกับน้องนั่ง ไม่เป็นอะไร ไฟ กระจก อยู่ครบ แต่พอเลยตรงนั้นไปคือยุบยู่ จนมาถึงกระโปรงหลัง เอาง่ายๆ คือเลยจากส่วนที่ผมนั่ง ยุบ หลังคาไปหมด กระจกแตก ล้อรถเหมือนคนขาหัก กระโปรงหลังที่อัดๆ กันอยู่ นึกขึ้นได้ว่ามีผืนระนาด สิ่งแรกที่คิดตอนนั้น แล้วกูจะเอาระนาดที่ไหนไปใช้คืนมูลนิธิ (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ) วะ แต่พอเปิดออกมา ผืนระนาดไม่เป็นไร ตะกั่วไม่หลุด ไม้ไม่หลุด ผมยังคิดว่าระนาดแบบรางถอด พอรถกระแทกและโดนแรงอัด ก็น่าจะเสียหายบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไร”
ปาฏิหาริย์เพราะครูบาอาจารย์
แม้เรื่องราวจะผ่านมา 8 ปี แต่ทุกครั้งที่ทวีศักดิ์เล่าให้คนอื่นฟัง ยังเสียวสันหลังไม่หาย เขาบอกอย่างนั้น ใครเล่าจะไม่รู้สึกและยากจะลืมได้ มุมหนึ่งชีวิตตัวเองรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชด้วยปาฏิหาริย์ก็ใช่ แต่อีกมุมในฐานะคนดนตรีที่มีครูบาอาจารย์และเคารพด้วยใจบริสุทธิ์ เขาเชื่อมั่นนั่นเพราะบุญรักษา นำมาซึ่งความแคล้วคลาดจากเหตุการณ์เลวร้าย
“ทุกวันนี้ หรือจนตายผมก็คิดนะครับ ท่านคงช่วย เพราะผมมีพระพิฆเนศองค์หนึ่ง ผมเช่าไปจากกรมศิลป์ หน้าตักประมาณ 1.5 นิ้ว ผมจะตั้งท่านไว้หน้ารถคันที่เกิดเหตุ หันหน้าท่านไปข้างหน้า ตอนที่ผมดูสภาพรถวันนั้น แขนท่านขาด เศียรและคอท่านเอียง อีกนิดเดียวจะหัก ก็ทำให้ผมคิดว่าท่านคงช่วยชีวิตผมกับน้องไว้ ตอนนี้ไม่ได้เก็บไว้ละครับ ผมเอาไปถวายให้วัดๆ หนึ่ง”
พ้นจากเหตุการณ์เฉียดความตายมา หลายคนตั้งคำถามว่าทวีศักดิ์ต้องมีของดีแหงมๆ และเขาก็ยอมรับอย่างอารมณ์ขัน ในตัวห้อยพระดังหลายองค์ ไล่ชื่อมาทำเอาคนนั่งฟังตาลุกวาว (ขอปิดเป็นความลับ) ถึงอย่างนั้น เขาก็เชื่อเรื่องการทำดีคิดดีมากกว่า ขณะที่ครูบาอาจารย์ที่นับถือ เป็นอานิสงส์ เมื่อทำดีคิดดีย่อมส่งผลกุศลสู่ตัวเอง
“ผมไปดูดวงหลังจากนั้น 3 วัน มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งเห็นหน้าผม ท่านทักขึ้นมาว่า มึงเพิ่งรถคว่ำมาเหรอ ผมก็ตกใจสิครับ ท่านรู้ได้ไง ท่านก็บอกว่ามึงยังไม่ถึงที่ตายหรอก เพราะมึงโชคดีที่มีครูบาอาจารย์รักษา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยไว้ ป่านนี้มึงอาจจะแขนขาขาดแล้ว ตอนนั้นผมฟังพระท่านบอกก็อึ้ง
ความคิดผมวันนั้นนะ ผมต้องตายแล้ว คงไม่ได้มานั่งให้สัมภาษณ์วันนี้ หรือมีโอกาสมาตีระนาดได้ต่อแน่นอน เพราะถ้าดูจากสภาพรถ อย่างที่คนไปมุงดูวันนั้นบอก ไม่น่ารอด แต่ผมก็รอดมาได้ ก็เพราะครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือจริงๆ เลยครับ”
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่เจอกับตัวก็ยากจะอธิบาย หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับใครหลายคน สามารถรอดจากความตาย หรือคล้ายมีอะไรมาช่วย ล้วนเป็นปาฏิหาริย์จากสิ่งที่มองด้วยตาไม่เห็น แต่เมื่อใช้จิตระลึกถึงก็จะสัมผัสได้ เช่นมือระนาดรายนี้
ระนาดผืนนั้นยังมีชีวิต
คนปลอดภัย ระนาดผืนนั้นก็ยังไม่หายไปไหน เป็นระนาดเอกของมูลนิธิหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน งานแสดงภาคความบันเทิง อาทิ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ละครเวที ก็คือระนาดผืนดังกล่าว อายุคะเนไม่ได้ ตัวผืนทำจากไม้ชิงชัน ความไพเราะไม่ต้องบรรยาย เข้าขั้นเทพระนาดเอก
“จุดเด่นเรื่องการใช้งาน สำหรับผมคือขนาดกำลังดี ลูกระนาดกำลังพอเหมาะ เพราะยุคนี้ผืนระนาดจะใหญ่ขึ้นมาหน่อย ลูกระนาดก็จะใหญ่ ปัญหาของคนที่เคยตีระนาดลูกเล็กๆ การวางไม้อาจจะไม่อยู่ตรงกลาง แต่ก็อยู่ที่การฝึกฝน คนที่แม่นมากๆ ก็จะไม่มีปัญหา หรือคุ้นกับผืนเล็กๆ แล้วไปเล่นผืนใหญ่ เวลาเหวี่ยงก็อาจพลาดได้”
การใช้งานระนาดผืนที่เกิดเหตุ แวบแรกเห็นยังไม่ต้องชะตา แต่พลันที่ทวีศักดิ์ได้ลองตี ความคล่องมือและความพลิ้วปรากฏ กลายเป็นความบรรจบกันระหว่างเขากับระนาด ราวว่าเขาได้เจอเนื้อคู่ตุนาหงัน หลังจากนั้นเขาจึงใช้งานมาตลอด นอกจากนี้เขายังใช้เป็นต้นแบบของการทำระนาดผืนส่วนตัว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทำอย่างละเมียดละไม
ความผูกพันระว่างระนาดผืนนั้นกับทวีศักดิ์ ไม่ต้องพูดถึง ยาวนาน ตั้งแต่ปี 2547 ครั้งที่ภาพยนตร์ “โหมโรง” ออกฉายสู่สายตาประชาชน เสียงระนาดฉากประชันกันขุนอินกับนายศร ก็คือระนาดผืนนั้น ต่อเนื่องถึงละครโทรทัศน์และละครเวทีในรูปแบบมิวสิคัล ที่กลับมาเปิดการแสดงอีกครั้ง (โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ชั้น 7 สยามสแควร์วัน จนถึงวันที่ 22 พ.ย.นี้) ระนาดผืนนั้นยังถูกนำมาใช้งาน เพื่อถ่ายทอดความไพเราะและสืบสานดนตรีไทย
“ในภาพยนตร์ผมจะตีให้นายศร เสียงต้องไหวร่อนและพลิ้ว ต้องนึกถึงฉากก้านมะพร้าวไหวๆ ที่เปรียบเทียบกับความพลิ้วของเสียงระนาด เชื่อมั้ยผมตีเกือบ 4 ชั่วโมง ตีจนเกร็ง กว่าจะได้เสียงระนาดที่สื่ออารมณ์ฉากนี้ ละครนี่หนักกว่าภาพยนตร์ เพราะผมต้องตีทั้งขุนอินและนายศร แล้วผมก็ต้องเป็นคนอัดเสียงระนาดเองด้วย ความต่างระหว่างเสียงระนาดของสองตัวละครคือการใช้ไม้แข็งในการตี บทขุนอินจะต้องเป็นไม้ปื้นใหญ่ เสียงจะหนักแน่น ส่วนบทนายศรก็ใช้ไม้ที่ให้ความเร็วกว่า
พอมาเป็นมิวสิคัลก็ว่าหนักพอๆ กัน คืออย่างละครหรือภาพยนตร์ยังคัตได้ใช่มั้ย ตัดต่อได้ใช่มั้ย มิวสิคัลพลาดไม่ได้ เล่นจริง ใส่เต็มที่ ก็มีพลาดเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) ถ้าคนดูทั่วไปฟังไม่ออกหรอก แต่คนที่รู้เรื่องดนตรีฟังออกว่าเล่นพลาด บางทีต้องเหวี่ยวง 8 ลูก แต่ผมไปเหวี่ยง 7 ลูก ก็ผิดพลาดล่ะ หรือแม้แต่แรงที่ตี ถ้าไม่มีแรง ร่ายกายไม่ได้พัก หรือพักผ่อนน้อย คนรู้เรื่องดนตรีก็ฟังออก”


